ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2565 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
เผชิญหน้า หลวงจีน
เผชิญหน้า ด่านพยุหอรหันต์
กับดัก ทารก ‘บู๊ลิ้ม’
ไม่ว่าการเดินทางไปเยือนอาฮุยของลิ่มเซียนยี้ ณ ศาลร้าง ไม่ว่าการชี้เบาะแสของลิ่มจ้งก้วง ณ ปากประตูใหญ่
ล้วนผ่านการวางแผน
หากไม่มีการวางแผนแล้วเหตุใดจึงต้องปรากฏเงาร่างอิ่วเล้งเซ็งภายใต้เสื้อนวมเขียวภายในห้องเก็บฟืน
หากไม่มีการวางแผนแล้วเหตุใดจึงต้องมีฉั้งฉิก
ไม่เพียงแต่มีฉั้งฉิกพร้อมกับมือเกาทัณฑ์เทพยดาอันต่อยอดมาจากความคิดประดิษฐ์สร้างของท่านขงเบ้งง้างสายรออยู่ 10 กว่าคน
หากไม่มีการวางแผนแล้วเหตุใดจึงต้องมีเตี่ยเจี่ยหงีพร้อมกับดาบทอง
หากไม่มีการวางแผนเมื่ออาฮุยรอดพ้นจากการตกเป็นเป้าของเกาทัณฑ์เทพยดาแล้วจึงต้องปะเข้ากับด่านอรหันต์ของวัดเสียวลิ้มยี่
ถามว่าทั้งๆ ที่บาดเจ็บอาฮุยตีหักด่านของเสียวลิ้มยี่ไปได้หรือไม่
เบื้องหน้า “ค่ายกลอรหันต์” (ล้อฮั่นติ่ง) จำลอง อาฮุยสูดลมหายใจลึกๆ คำหนึ่ง ขณะร่างกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว
อาฮุยดูออกว่าหลวงจีนเหล่านี้มิเพียงมีพลังฝีมือสูงล้ำ
หากแต่ การผสมผสานของท่าร่างยิ่งแนบเนียน ไร้ช่องโหว่ แม้แต่สายน้ำยังมิอาจสาดกระเซ็นเข้าไปได้
เมื่อมันอายุ 8-9 ขวบเคยเห็นกระเรียนตัวหนึ่งถูกงูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งกักไว้
จะงอยปากของกระเรียนแม้แหลมคม กลับไม่กล้าจิกจู่โจม อาฮุยความจริงประหลาดใจ ภายหลังค่อยทราบว่ากระเรียนรู้ซึ้งถึงนิสัยประจำตัวของอสรพิษ
งูเหลือมตัวนี้พอขดตัวไว้ ส่วนหัวและหางเชื่อมต่อกันจะมีความรวดเร็วราวอสนีบาตสายฟ้า หากจะงอยปากเหล็กของมันจิกใส่หัวงู ขากระเรียนต้องถูกหางงูรัดไว้ หากเปลี่ยนเป็นจิกใส่หางคงต้องถูกงูฉกทำร้าย
ดังนั้น กระเรียนจึงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
รอจนงูเหลือมอดรนทนไม่ได้ ชิงเป็นฝ่ายจู่โจม จะงอยปากเหล็กของกระเรียนก็จิกใส่ตำแหน่งใต้คอ 7 นิ้วของงูเหลือม
รวดเร็วดุจสายฟ้า
อาฮุยหมอบดูอยู่บนต้นไม้เป็นเวลาทั้งคืนจึงเข้าใจ “หัวหางติดต่อ” เป็นเคล็ดสำคัญของการเดินทัพก็จริง แต่หากสามารถปฏิบัติถึง
“ใช้สงบสยบเคลื่อนไหว ใช้กระปรี้กระเปร่าทำลายระโหยโรยแรง”
ยิ่งจะสามารถได้ชัยมั่นคงกว่า
เหตุผลนี้อาฮุยไม่เคยลืมมาเลย ดังนั้นเอง เมื่อหลวงจีนเสียวลิ้มยี่ไม่เคลื่อนไหว อาฮุยก็ไม่ยอมเคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาด
ซิมไบ๊ไต้ซือกลับเป็นฝ่ายส่งเสียง “หรือประสกคิดงอมือให้จับกุม”
คำตอบจากอาฮุยคือ “ไม่” ภายใต้เหตุผลอันรวบรัด “ท่านไม่ฆ่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่อาจฆ่าท่าน ข้าพเจ้าก็ทะลวงออกไปไม่ได้”
“หากประสกสามารถฆ่าอาตมา อาตมามรณภาพก็ไม่ตำหนิ”
“ตกลง” สิ้นคำจากปาก อาฮุยถึงกับเคลื่อนไหว พอเคลื่อนไหวก็มีความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ
แลเห็นประกายกระบี่แทงเข้าใส่คอหอยซิมไบ๊ไต้ซือ
ร่างหลวงจีนก็เคลื่อนไหวเช่นกัน ฝ่ามือแข็งแกร่งทั้ง 8 ฟาดเข้าใส่อาฮุยโดยพร้อมเพรียงโดยมิได้คาดว่ากระบี่ของอาฮุยพอแทงออก
เท้าพลันแปรเปลี่ยน
มิว่าผู้ใดต่างดูไม่ออกว่าเท้าของอาฮุยเปลี่ยนแปรไปเยี่ยงไร เพียงเมื่อรู้สึกร่างของมันพลันเปลี่ยนทิศทางไปในบัดดล
นี่ย่อมเป็นลีลา นี่ย่อมเป็นกระบวนท่า
จากการบรรยายของ “โกวเล้ง” ตามสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง กระบี่นั้นแทงใส่คอหอยซิมไบ๊ไต้ซือชัดๆ ตอนนี้พลันเปลี่ยนทิศทาง
ทำให้ฝ่ามือของสมณะอีก 4 รูปคล้ายจงใจส่งให้กระบี่อาฮุยแทงอย่างยินยอม
“ประเสริฐ” เป็นเสียงจากซิมไบ๊ไต้ซือ
เมื่อเสียงดังขึ้น แขนจีวรสะบัดขึ้น พลังอันดุดันพลันพุ่งมาแหลมคมดั่งมีดใหญ่ นั่นคือ วิชา “แขนเสื้อเหล็กเสียวลิ้ม” (เสียวลิ้มทิชิ่ว)
ทั้งจู่โจมใส่จุดที่อาฮุยจำเป็นต้องช่วยตัวเองก่อน
หลวงจีนทั้ง 4 แม้ประสบภัยคับขัน แต่ตัวเองกลับไม่ต้องลงมือคลี่คลายช่วยเหลือเลย นี่ก็เป็นอานุภาพของ “พยุหล้อฮั่น” อันน่าสะพรึงกลัว
พริบตานั้น กระบี่ของอาฮุยถึงกับเปลี่ยนทิศทางอีก
หากเป็นผู้อื่นเมื่อเปลี่ยนกระบวนท่าของกระบี่ อย่างมากก็กระทำเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายเท่านั้น แต่สำหรับอาฮุยเมื่อเปลี่ยนกลับเปลี่ยนไปทั้งทิศทาง
กระบี่ที่ความจริงแทงสู่ทิศบูรพา พลันกลับกลายเป็นแทงใส่ทิศประจิม
ความจริง กระบี่ของอาฮุยมิได้เปลี่ยนแปรเลย หากที่เปลี่ยนแปรกลับเป็นที่เท้าทั้งสองของมัน
ความรวดเร็วของการแปรเปลี่ยนนับว่าผู้คนไม่กล้าเชื่อถือถึงกับมีเท้าเยี่ยงนี้อยู่
บังเกิดเสียงขวับเบาๆ ปรากฏว่าที่แขนจีวรของซิมไบ๊ไต้ซือถูกแทงทะลุไปแล้ว จากนั้น ประกายกระบี่พลันกลายเป็นรุ้งยาว
ร่างและประกายกระบี่คล้ายผนึกเป็นน้ำหนึ่งอันเดียว
รุ้งกรีดผ่าน ร่างติดตาม ทะลวงออกจากวงล้อม อาฮุยเสี่ยงอันตรายลงมือ ด้านหนึ่ง ถึงกับได้ผลเพราะโชคช่วย แต่กลับลืมว่าได้เปิดช่องว่างขึ้นที่ด้านหลัง
“ประสกช้าไว้ อาตมาน้อมส่ง” เป็นเสียงหนักของซิมไบ๊ไต้ซือ
อาฮุยรู้สึกมีพลังหนักหน่วงกระแทกเข้าที่กลางหลัง คล้ายเป็นค้อนเหล็กฟาดใส่ตรงกระดูกสันหลัง มาตรว่าสวมกิมซีกะ แต่เมื่อถูกจู่โจมก็ต้องร้อนวูบถึงทรวงอก
ร่างปลิวละลิ่วดุจว่าวขาดจากสายป่าน
แม้จะได้ยินเสียง “ไล่” ดังจากปากของหลวงจีนเคราเขียวพร้อมกับเหตุผลสำทับตามมาว่า “มันหนีได้ไม่ไกล”
ซิมไบ๊ไต้ซือรีบห้ามอย่างเยือกเย็น
“ไม่ต้อง ในเมื่อมันหนีได้ไม่ไกล เหตุใดยังต้องไปไล่อีก”
หลวงจีนเคราเขียวเมื่อได้ยินก็นำเข้าสู่กระบวนการครุ่นคิดอย่างฉับไว ปรากฏรอยยิ้มขึ้นน้อมศีรษะก้มลง
“ซือเจ๊กสั่งสอนถูกต้อง”
จําเป็นต้องตามไปดูในอีกด้าน อาฮุยอาศัยพลังฝ่ามือทะยานกายขึ้น ขณะเดียวกัน ก็อาศัยการทะยานกายขึ้นนั้นสลายพลังฝ่ามือของฝ่ายตรงข้าม
พลังฝ่ามือของซิมไบ๊ไต้ซือหนักหน่วงสมคำเล่าลือ
อาฮุยทะยานข้ามหลังคาไป 2 หลังจึงพอฝืนใจยืนหยัดได้ จวบจนเมื่อทะยานอีกครั้งจึงได้พบว่าอวัยวะภายในบอบช้ำไปแล้ว
ในความคิดรู้สึกว่าเป็นอาการบาดเจ็บเพียงน้อยนิด ย่อมยังทนทานอยู่ได้
การฝึกอันลำบากตรากตรำ วันเวลาที่ยากเข็ญลำเค็ญ หลอมหล่อให้อาฮุยกลายเป็นคนที่ยากจะล้ม
ร่างกายคล้ายดั่งเป็นเหล็กไหลไปแล้ว
ม่านสนธยาคลี่หนาลงทุกขณะไม่เห็นมีผู้ใดอยู่รอบข้าง แต่ในความรู้สึกของมัน บนคาคบไม้ทุกต้น บนสันหลังคาทุกหลัง
แต่ละแง่มุมกลับต่างคล้ายมีศัตรูซุ่มดูอยู่ทุกแห่งหน
บทสรุปเช่นนี้ของอาฮุยน่าสนใจ น่าศึกษา ต้องยอมรับว่านี่เป็นผลพวงแห่งประสบการณ์และความจัดเจนโดยแท้
เป็นประสบการณ์จากการเรียนรู้ “โดยตรง”
กล่าวสำหรับสถานการณ์รุกเข้าไปในคฤหาสน์เมฆเรืองโรจน์ อาฮุยเรียนรู้จากที่ประสบในห้องเก็บฟืน
คิดจะไปหา “ลี้คิมฮวง” แต่กลับพบเห็น “คนอื่น”
ทั้งยังเป็น “คนอื่น” ที่มีการตระเตรียม ไม่ว่าภายในห้องเก็บฟืนและที่รอคอยอยู่ภายนอกพร้อมอาวุธหลากหลายครบมือ
สถานการณ์เช่นนี้ย่อมมิใช่ “อุบัติเหตุ” หรือ “บังเอิญ”
ประสบการณ์ที่สะสมมานั่นแหละกลายเป็นอาวุธอย่างดีในการต่อสู้และคลี่คลายสถานการณ์
แม้จะแกร่งกล้าราวเหล็กไหล แต่ก็ยังมีโอกาสต้องเผย “จุดอ่อน”
ภายในความรอบรู้ของอาฮุยจากประสบการณ์ “ตรง” ครั้งแล้วครั้งเล่า จุดอ่อนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าในความฉลาดนั้นมีส่วนที่ขาดหายไป
นั่นก็คือ ความเฉลียว
แม้กระทั่งหลุดพ้นจากค่ายพยุหอรหันต์ของวัดเสียวลิ้มยี่ มาประสบเข้ากับศัตรูแข็งกล้าที่รอคอยอีกผู้หนึ่งความเฉลียวก็ยังไม่บังเกิด
และนำไปสู่ “จุดเปลี่ยน” อย่างสำคัญต่อชีวิต “อาฮุย”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022