49 ปีโจอี้ กานา ‘ชีวิตผมไม่ตลก…ผมเป็นคนเคร่งศาสนา’ | รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ | ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง

 

49 ปีโจอี้ กานา

‘ชีวิตผมไม่ตลก…ผมเป็นคนเคร่งศาสนา’

 

ในบรรดานักแสดงตลกเมืองไทย เราๆ ท่านๆ คงจะคุ้นชินกับหนุ่มใหญ่ผิวสีวัย 49 ปี ที่ชื่อ “โจอี้ เชิญยิ้ม” หรือ “โจอี้ กานา” เพราะเขาอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 10 ปี และอยู่เมืองไทยมา 18 ปีแล้ว

“มติชนสุดสัปดาห์” มีโอกาสสนทนากับเขาที่ร้าน” กูโรตีชาชักโจอี้” ตลาดนัดสวายวินเทจ ย่านลำลูกกา คลอง 4 ปทุมธานี

หนุ่มชาวกานาผู้นี้ มีชื่อจริงว่า มูซา อะมิดู จอห์นสัน

เขาบอกว่า “ที่บ้านไม่ค่อยรู้เรื่องการเป็นนักแสดงมากนัก เพราะผมไม่ได้เปิดเผยอะไรขนาดนั้น เขารู้ประมาณ 50% แค่ดูจากภาพที่ผมลง และเพื่อนๆ ที่เขาเคยอยู่ที่นี่ แล้วกลับบ้านเขาก็บอกว่าผมดังแล้วนะ ผมก็บอกไม่ได้ดังหรอก แต่แค่พอดีๆ นี่แหละ ถ้าบอกว่าดัง เดี๋ยวค่าใช้จ่ายจะเพิ่ม เพราะทุกเดือนต้องส่งเงินไปที่บ้านให้พ่อแม่ใช้ พ่อแม่อายุเยอะแล้ว ไม่ได้ทำอาชีพอะไร มีพี่สาวเลี้ยงดูอยู่ และก็มีพี่ชาย ที่นี่ผมก็ต้องดูแลครอบครัวตัวเองด้วย”

โจอี้ย้อนอดีตให้ฟังว่า “ช่วงแรกๆ มาเตะบอลอยู่ที่สโมสรยาสูบ แบบไปๆ มาๆ เพราะไม่ได้ทำสัญญา แต่ทีมที่อยู่ยาวเป็นทีมตำรวจชนะสงคราม ที่บางลำพู อยู่ประมาณ 2-3 ปีแล้ว หลังจากนั้นไปเตะที่ระยอง พอมาเข้าอาชีพบันเทิงจริงๆ ก็ไม่มีเวลาไปซ้อม เนื่องจากไปเปิดธุรกิจขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ”

“บังเอิญที่ป๋าเทพ โพธิ์งาม สร้างหนัง และอยากให้คนดำมาเล่นด้วย เรื่องแรกคือ ดึก ดำ ดึ๋ย นี่แหละงานแรกของผม เลยให้ออกรายการบ่อย ช่วงโปรโมตหนัง คือที่มาที่ไปของผมจนทุกวันนี้ สาเหตุที่เข้ามาอยู่วงการนี้ได้เพราะป๋าเทพ โพธิ์งาม”

: ขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำเป็นอย่างไรบ้าง

ผมโชคไม่ดี เพราะช่วงที่ทำธุรกิจขายเสื้อผ้ากับคนไทยโดนหลอก ทำให้ไม่มีอะไรเหลือ แต่บังเอิญโชคดีที่ป๋าเทพอยากได้นักแสดง ผมเลยไม่ได้ตกอับมากกว่านั้นอีก มีโอกาสมาแคสต์ คิดว่าน่าจะเป็นช่วงโชคชะตาเป็นวาสนาที่จะได้ตรงนี้มากกว่า ไม่ใช่ว่าเราเก่งมากที่มาเล่นตลกในประเทศไทย หรือมาเป็นนักแสดง มันไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่คนเอเชีย ทั้งคนละทวีปจากแอฟริกานู่น ตั้งใจจะมาเตะบอลอยู่มาเลเซีย และสุดท้ายย้ายมาอยู่ที่นี่ โดยที่ไม่ได้หวังหรือวางแผนอะไร ไม่ใช่วางแผนว่าอยากเป็นแบบนี้ หรือความฝัน

ความฝันของผมคือเป็นนักฟุตบอล ผมติดทีมชาติเยาวชนกานาตอนอายุ 17 ปี ช่วง 15-17 ปี เป็นความฝันที่อยากไปแข่งหลายประเทศ แต่ได้มาอยู่มาเลเซียแค่ปีกว่า เป็นเส้นทางที่พระเจ้ากำหนด โดยที่เราไม่สามารถรู้ว่าอะไรดีสำหรับเรา แต่พระเจ้ารู้ เลยเป็นเส้นทางของเรา เพื่อจะได้มาอยู่ที่ประเทศไทย

: วางแผนชีวิตจะอยู่เมืองไทยหรือกลับกานา

ตั้งแต่แรกคิดว่าไปๆ กลับๆ แป๊บเดียว 10 ปี 15 ปี ตอนนี้จะ 20 ปีแล้ว ที่จริงผมเป็นอิสลาม ส่วนใหญ่อิสลามเราไม่ได้วางแผนชีวิต พระเจ้าดำเนินชีวิตให้เราเอง ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีศรัทธาแค่ไหน ความเป็นอยู่ตอนนี้ผมอยากอยู่ประเทศไทยมากกว่า เนื่องจากว่าอยู่มานาน ถ้ากลับไปบ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร ความเป็นอยู่ที่นี่ดีขึ้นเยอะ เลยคิดว่าอาจแค่ไปเยี่ยมครอบครัวที่บ้าน แล้วกลับมาอยู่ที่นี่ต่อ

เนื่องจากอนาคตการแสดงไม่แน่นอน โดยเฉพาะศิลปินนักแสดงอิสระอย่างผม ซึ่งไม่ได้ตั้งใจเป็นอิสระ แต่ผมไม่มีงานประจำ โอกาสข้างหน้าถ้าได้งานประจำก็ยิ่งดี เพื่อจะได้วางแผนมากกว่านั้นอีก เหมือนที่ผมบอก อะไรที่อยากจะสลับแลกเปลี่ยนกับคนไทย ผมจะเริ่มหาวิธีไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมที่บ้านผมกับที่นี่ เพื่อจะได้ให้คนไทยรับรู้ความเป็นอยู่ของคนกานาว่าเป็นอย่างไร

อนาคตข้างหน้าวางแผนว่าจะเดินทางบ่อย เพราะว่าตอนนี้คนไทยอยู่บ้านผมที่แอฟริกาเยอะมาก ก่อสร้างตึก สร้างถนน ทำโรงแรม 5 ดาว บางคนทำธุรกิจส่งข้าวสาร และหลายๆ อย่างน้ำปลา อยู่ที่กาน่าดูทีวียังงงว่า เฮ้ย มาถึงบ้านเราแล้วเหรอ มาม่าของไทยก็ถึงเรียบร้อยแล้ว

: จะขอสัญชาติไทยไหม

อันนั้นแน่นอนครับ เดินเรื่องไปแล้ว ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา 10 ปี แต่ 10 ปีที่แล้วผมไม่ได้ดำเนินอะไรเลย ทีแรกคิดจะกลับบ้าน แต่ก็อยู่นาน ตอนนี้เลยคิดว่าถ้าจะอยู่ยาวต้องขอสัญชาติไทย แต่ทำเรื่องขอช้ามากเลย ถ้ารู้ว่าจะอยู่ต่อน่าจะเริ่มขอตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ป่านนี้คงได้แล้ว เพราะปัจจุบันผมก็มีภรรยา สามารถขอสัญชาติไทยได้ เริ่มตั้งแต่จดทะเบียนสมรสกับภรรยาคนไทย (มุสลิมเหมือนกัน) เป็นไปตามขั้นตอนอยู่แล้ว แต่มาเริ่มขอสัญชาติช้าไป

: ตอนนี้มีผลงานอะไรบ้าง

งานการแสดงผมไม่มีงานประจำ ใครเรียกไปก็ได้ เป็นนักแสดงอิสระ ตอนนี้ก็ถ่ายละละครของอาฉลอง ภักดีวิจิตร อยู่ที่ช่อง 7 และเรื่องแค้นสองแผ่นดิน กำลังถ่ายทำอยู่ รับบทเป็นสายลับ แปลกมากเลย ไม่รู้อาฉลองคิดยังไงให้ผมเล่นเป็นสายลับสองฝ่าย ดูบุคลิกก็ไม่ให้แล้ว (หัวเราะ) เหมือนโจรขนาดนี้ให้เป็นสายลับ ไปอยู่ 2 ฝ่าย ผมไปอยู่สายตำรวจ น่าสนใจมากครับ ผมไม่เคยรับบทแบบนี้ เป็นสายลับดีที่ช่วยเหลือตำรวจ เนื่องจากว่าบางคนเขาทำผิดกฎหมาย ผมก็ต้องไปดูไปอยู่กับพวกเขาระยะยาว เพื่อจะได้รู้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา

นอกจากงานแสดงแล้ว ตอนนี้งานอดิเรกของผมเลยตั้งทีมเป็นกลุ่มเพื่อนโจอี้ จิตอาสา เมื่อปีที่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้ช่วงน้ำท่วม 2 ปีก่อนก็เริ่มต้นช่วยเหลือคนแล้ว เพียงไม่ได้ออกงานเยอะเท่านี้เพราะช่วงโควิดพอดี เลยไปช่วยเหลือคน จากโควิดระบาดก็มีถุงยังชีพ พวกเราไปหลายที่ อยุธยา ชัยนาท อ่างทอง สมุทรปราการ น้ำท่วมอุบลฯ ผมก็ไปหมด

ทุกวันนี้ผมก็อยู่จิตอาสากับมูลนิธิร่วมกตัญญู เลยคิดตั้งกลุ่มเล็กๆ ที่มีจิตอาสาอยากช่วยเหลือคน จึงทำโครงการนี้ขึ้นมา พวกเราไปทุกที่ไม่ว่าจะเป็นงานกุศล งานช่วยเหลือ หรืองานทำบุญ คนก็เริ่มรู้จักโจอี้จากทีมฟุตบอลด้วย เพราะผมอยู่หลายกลุ่มเยอะมาก ดารายุค 90 ดาราชาวภาคใต้ อีสาน ผมอยู่ทุกกลุ่ม เนื่องจากเคยร่วมงานด้วยกัน เลยคิดว่าเมื่อมีเพื่อนแล้วทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับสังคมดีกว่า

ถ้าไปเปิดเพจเฟซบุ๊กของผม กดหาเพื่อนโจอี้จะขึ้นทันที คือจิตอาสาของผม เวลาไปแจกของจะมีคนมาร่วมกับเราเยอะ คนที่ตั้งใจเป็นสมาชิกกลุ่มก็มีถึง 13 คน และในกลุ่มก็มีหนูมิเตอร์ อาร์สยาม ที่เป็นนักร้องดัง บ่าววีเขาก็ไปช่วยร่วมงานบางครั้ง และอดีตทีมชาติไทย ศรายุทธ ชัยคำดี “โจ้ 5 หลา” และอีกหลายคนที่มาช่วย

เนื่องจากจิตอาสาที่ผมทำอยู่ บางคนเริ่มเห็น มีคนเชิญผมไปรับรางวัลจิตอาสา มีเป็นสิบถ้วยที่อยู่ที่บ้าน ผมไม่ได้ขอ แต่เขาเห็นสิ่งที่ทำ ตั้งแต่ช่วงโควิด น้ำท่วม ผู้ป่วยติดเตียง ผมไปหมด ถ้าใครมีงานก็ยินดีครับ บอกกับเพื่อนโจอี้จิตอาสาก็ไปลุยเลย สำหรับบางคนเขาไม่มีพรรคพวกที่จะไปร่วมงาน ก็บอกเพื่อนโจอี้ เราก็ยินดี

บางคนเขามีของอยากไปแจก เราก็เป็นสะพานบุญเพื่อไปทำบุญด้วยกัน บางคนเริ่มติดต่อในเพจเพื่อนโจอี้ บางทีมีงานเทศกาลราชบุรี และเชียงรายก็ไปทุกปี ไปบนดอยกะเหรี่ยง ไปทำบุญ มีฟุตบอล มีชุดให้เด็ก แล้วก็เล่นกิจกรรมถึง 2 วัน

: ในชีวิตจริงเป็นคนตลกหรือเปล่า

ชีวิตผมไม่ตลกเลย แต่แปลกมากๆ เลย ทำไมถึงมาเป็นตลก เพราะผมเป็นคนเคร่งศาสนา และศาสนาอิสลามกับวงการแบบนี้มันไม่ได้เข้ากันเท่าไร ด้วยความเป็นอยู่และการกินในชีวิตประจำวันที่อิสลามจะเคร่ง คุณไม่สามารถไปหลายที่แบบนั้นได้

ยกตัวอย่างอาหาร เวลาที่ไปถ่ายละคร ไปถ่ายรายการ อาหารที่จะกินต้องระวัง ต้องเป็นฮาลาลด้วย มุสลิมเขาจะเคร่ง ไม่กินมั่วซั่ว แต่คิดดูว่าต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้กี่รอบ และบางงานที่ไป ไม่มีอะไรกินเลย แล้วคุณจะอยู่ยังไง ต้องกินข้าวไข่เจียว แบบที่ผมเคยทำ 10-11 เดือน กินข้าวไข่เจียวตลอด มากินปลากระป๋องเพิ่มบ้าง เนื่องจากกลัวว่าจะพลาดไปกินอะไรที่ไม่รู้ว่าคืออะไร

พอมารู้จักคนไทยมากขึ้น เริ่มรู้ว่าเราจะแบ่งแยกยังไง เริ่มรู้จักเวลาที่เขาจ้างไปงาน บอกเขาว่าผมเป็นมุสลิม เขาก็เริ่มให้เกียรติตรงนี้ด้วย อาหารไม่ใช่ปัญหาแล้ว นี่แหละถือว่าโชคดีด้วย ไม่อย่างนั้นจะเคร่งและเครียด

ด้วยความเป็นมุสลิมที่อยู่วงการนี้ คุณต้องไปร่วมงานทุกงาน เช่น งานบวงสรวง งานเลี้ยง แต่ไม่จำเป็นว่าต้องกินเหล้า ขอให้บอกพวกเขาว่าคุณเป็นแบบไหน คนไทยยินดี สนับสนุน โชคดีตรงนี้

แต่ความเป็นชีวิตที่ต้องเล่นตลก หลังเวทีผมไม่ได้ตลก เป็นเรื่องแค่บนเวที ความตลกเป็นแค่อาชีพการแสดง ในชีวิตที่ผมบอกไม่ตลกก็คือ ทุกคนต้องดิ้นรนหมด ทุกวันจะทำยังไงให้อยู่ให้รอด ต้องเป็นความจริง

อย่างที่เขาบอกกันว่าชีวิตเป็นเหมือนละคร เลยบอกว่าผมไม่ตลก เพราะไม่รู้จะเล่นอะไรให้เขาขำจริงๆ แต่ไม่รู้ทำไมพอนับ 5 4 3 2 มันก็เป็นอีกคนหนึ่ง แต่ก่อนผมเคร่งเครียดกว่านี้อีก ตอนนี้เริ่มดีขึ้น เวลาไปทุกงาน ทุกคนอยากเล่นกับผม ทำให้ผมพูดจาไม่ค่อยดี ทั้งที่ชีวิตผมไม่ใช่อย่างนั้น แต่พอเป็นการแสดงทำให้บุคลิกผมตรงข้ามกับชีวิตจริงเลย เจอคนนู้นด่าคนนี้ด่า เลยเป็นสัญลักษณ์ของผมว่าต้องถูกด่าไอ้ดำ เพื่อที่ผมตอบโต้ว่าดำพ่อมึงสิ กลายเป็นว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของผมที่ทุกคนต้องเรียก แต่ขอให้ทุกคนเข้าใจว่ามันเป็นการแสดง ผมเป็นห่วงตรงนี้ด้วย

: ถ้าคนเรียก “ไอ้ดำ” โกรธไหม

ส่วนใหญ่เพื่อนๆ เรียกโจอี้ทั้งหมด แต่ถ้าใครมาเรียกไอ้ดำก็ไม่โกรธ เพราะรู้ว่าเขาต้องการอะไร ส่วนใหญ่ตำรวจจะเรียกมากกว่าคนธรรมดา บางทีด้วยชุดเราก็ให้เกียรติพวกเขา แต่เวลาไม่เล่นตลก มันก็ไม่สนุกอย่างที่เขาต้องการ คนที่เรียกไอ้ดำ เขาต้องการบางสิ่งบางอย่างจากคุณ คือคุณต้องตอบเขาด้วยมุข เพราะพอคุณตอบปุ๊บทุกคนขำ เขาก็ได้หน้าด้วย นี่แหละคือศิลปินหรือการแสดง

ที่ผ่านมา ตลกรุ่นพี่ อย่างพี่โน้ต พี่โย่ง อาจารย์เด๋อ มี 3 ท่านที่ผมเจอที่สนามบิน จะไปงาน เขาเรียกไอ้ดำๆ 2 รอบ ผมไม่ได้ตอบอะไร เขาบอกว่าคุณไม่ใช่ตลก เพราะตลกไม่ว่าจะเป็นยังไง เวลาคนอื่นพูดมาต้องสวนไป หลังจากนั้นค่อยมาขอโทษทีหลัง ผมก็ได้เรียนรู้ แม้แต่พี่เป็ด เชิญยิ้ม เขาก็เรียกผมไอ้ดำ ต้องบอกว่าดำพ่อมึงสิ และค่อยขอโทษทีหลัง

ทั้งหมดนี้คงทำให้ได้รู้จัก “โจอี้ เชิญยิ้ม” ในอีกมุมที่ไม่ใช่นักแสดงตลก ซึ่งเจ้าตัวย้ำนักย้ำหนาว่าจะทุ่มเทให้กับงานจิตอาสาต่อไปอย่างที่ตั้งใจไว้ เพื่อตอบแทนประเทศที่ไทยทำให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น