เงื่อนงำ อำพราง หลอกล่อ ทารกบู๊ลิ้ม อาฮุย เดินเข้า กับดักใหญ่

บทความพิเศษ

 

เงื่อนงำ อำพราง

หลอกล่อ ทารกบู๊ลิ้ม อาฮุย

เดินเข้า กับดักใหญ่

 

ข้อมูลจากลิ่มเซียนยี้ทำให้อาฮุยจำเป็นต้องให้ความสนใจ เพราะว่าเกี่ยวพันอยู่กับชะตากรรมของลี้คิมฮวงอย่างแนบแน่น

อาฮุยจำเป็นต้องเข้ามานอนหมอบอยู่บนสันหลังคาตึกตรงข้ามเอ็งฮุ้นจึง

ฟุบตัวอยู่เป็นเวลา 1 ชั่วยามเต็ม คล้ายเป็นแมวกำลังรออยู่หน้ารูมุสิก ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่มีความเคลื่อนไหวแม้สักน้อยนิด

มีแต่นัยน์ตาเท่านั้นที่คมวาวเป็นประกายเจิดจ้า

ซุ้มประตูใหญ่เอ็งฮุ้นจึงจึงเป็นเช่นกับวันอื่นๆ นั่นก็คือ มิได้ปิด แต่ ณ ปากประตูกลับเงียบเหงา

เงียบเหงาอย่างชนิดวังเวง

มิเพียงไม่เห็นรถราม้าต่าง หากแต่ยังมิใคร่เห็นผู้คนเข้าๆ ออกๆ กระนั้น อาฮุยกลับมิยอมชะล่า เลินเล่อ

นั่นเป็นการรอคอยเพื่อเข้าพบลี้คิมฮวงให้จงได้

เป้าหมายย่อมอยู่ที่คน และคนที่นำพาไปย่อมเป็นลิ่มจ้งก้วงซึ่งประจำอยู่ปากประตู กระทั่งได้เข้าไปยังห้องเก็บฟืน

“ลี้ตั้วเอี้ยถูกขังอยู่ในห้องนี้”

ห้องเก็บฟืนมีหน้าต่างบานเล็กๆ เพียงบานเดียว สภาพคล้ายกับห้องคุมขัง มืดครึ้มและเย็นยะเยือก ใต้ไม้ฟืนที่กองสุมราวภูเขาขนาดย่อมนอนขดตัวด้วยคนผู้หนึ่ง

ไม่ทราบสลบไสลหรือว่าเคลิ้มหลับ

พอเห็นชุดหนังเตียวที่คนผู้นี้สวมใส่เลือดลมในอกของอาฮุยก็พลุ่งพล่านขึ้น แม้แต่อาฮุยยังไม่เข้าใจว่าตัวเองไฉนมีน้ำมิตรไมตรีต่อคนผู้นี้อย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้

อาฮุยพุ่งตัวไปกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่าน”

ยามนั้น ใต้ชุดหนังเตียวพลันปรากฏประกายกระบี่สายหนึ่งพุ่งวาบขึ้นมา ประกายกระบี่คล้ายสายฟ้า

ฟันใส่ 2 เท้าอย่างเร่งร้อน

เหตุเปลี่ยนแปลงนี้เหนือความคาดหมายผู้คนเกินไป กระบี่นี้รวดเร็วจริงๆ ดีที่ในมืออาฮุยยังถือกระบี่

กระบี่ของอาฮุยรวดเร็วยิ่งกว่า ถึงกับรวดเร็วจนเหลือเชื่อ

คนผู้นั้นแม้แทงกระบี่ออกก่อน แต่กระบี่ของอาฮุยซึ่งใช้ออกทีหลังกลับบรรลุถึงก่อน ได้ยินเสียงเคล้ง

ปลายกระบี่อาฮุยกลับจี้ถูกสันกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม

 

คนผู้นั้นพลันรู้สึกสะท้านขึ้นทั้งลำแขน กระบี่ร่วง กระเด็นไป แต่คนผู้นี้นับเป็นยอดฝีมืออันดับเยี่ยมยิ่ง ในยามอันตรายก็ไม่ว้าวุ่นลนลาน พลิกตัวกลิ้งปราดออกไปไกลกว่า 2 วา

จวบจนตอนนี้จึงเผยโฉมหน้า ถึงกับเป็นอิ่วเล้งเซ็งที่ไปแล้วย้อนมา

อาฮุยไม่รู้จักมันและมิได้เหลือบแลมันแม้เพียงแวบ กระบี่พอจี้ไปร่างพลันถอยปราด มาตรว่าถอยรวดเร็ว

แต่จนใจที่ยังสายเกินไป

ที่นอกประตูมีกระบองหวายท่อนหนึ่ง ดาบทองอีกเล่มหนึ่ง สกัดทางถอยไว้ก่อนแล้ว อาฮุยชะงักร่างไว้

มีเสียงเกรียวดังสนั่นหวั่นไหว

ฟืนที่กองสุมไว้ราวภูเขาต่างพังทลาย ปรากฏเงาร่างโผล่ออกมาอีกราว 10 กว่าคน ต่างสวมอาภรณ์รัดกุม

มือถือกล่องหน้าไม้เล็งมายังอาฮุยเป็นเป้าเดียว

 

ผู้คน 10 กว่าคนนี้มือถือกล่องหน้าไม้ เล็งเป้าหมายมายังอาฮุย หน้าไม้ที่ประดิษฐ์คิดค้นโดยขงเบ้งชนิดนี้ยามยิงในระยะประชิดใกล้

มีอานุภาพกล้าแข็ง รุนแรงสุดเปรียบปาน

ไม่ว่าเป็นผู้ใด มีพลังฝีมือถึงเพียงไหนหากถูกหน้าไม้ของขงเบ้ง 10 กว่าคันเช่นนี้ล้อมกักในห้องเก็บฟืนห้องหนึ่ง

หากคิดเอาตัวรอดเกรงว่ายากเย็นกว่าปีนป่ายขึ้นสู่สรวงสวรรค์อีก

ณ เบื้องหน้ากลับเป็นฉั้งฉิกซึ่งยิ้มพลางกล่าว “ท่านยังมีคำพูดใดจะกล่าว” อาฮุยทอดถอนใจ ทรุดกายนั่งลงอย่างแช่มช้า

“เชิญลงมือ”

ฉั้งฉิกแหงนหน้าหัวร่อ “ประเสริฐ ประเสริฐ ท่านไม่เสียทีที่เป็นบุคคลอันรวบรัดสมใจ เราผู้แซ่ฉั้งพานส่งเสริมท่าน”

มันโบกมือวูบ หน้าไม้ทั้ง 10 กว่าคันพลันระดมยิงดุจห่าฝน

 

ขณะเวลาเดียวกันนั้นเอง อาฮุยกลิ้งไปกับพื้น มือซ้ายช่วงชิงโอกาสรวบเอากระบี่เต๊าะเซ้งเกี่ยมอันอิ่วเล้งเซ็งปล่อยหลุดร่วงลงกับพื้นขึ้นมา

ประกายกระบี่กระจายเป็นวงกว้าง คล้ายกำแพงเจิดจ้าล้อมอยู่รอบร่าง

หน้าไม้ถูกฟาดกระจายออกข้าง ประกายที่เป็นลูกกลมกลิ้งมาจนถึงปากประตู เตี่ยเจี้ยอั้วคำรามขึ้นด้วยโทสะ

ดาบทองของมันฟันฉับลงอย่างหนักหน่วง ถี่ เร็ว

มิคาด ดาบของเตี่ยเจี้ยอั้วมิทันฟันลง ในความเจิดจ้าปรากฏประกายกระบี่อีกสายหนึ่งพุ่งวาบออกมา

กระบี่ที่เร็วยิ่งกว่าสายฟ้า ยิ่งกว่าประกายไฟ

เห็นเช่นนั้นเตี่ยเจี้ยอั้วรีบเปลี่ยนกระบวนท่าด้วยความตื่นเต้นจนขวัญหาย แต่ไม่ทันเสียงฉึกดังขึ้นเบาๆ เมื่อปลายกระบี่แทงเข้าใส่คอหอยของมัน

โลหิตสดๆ ฉีดออกมาเป็นทางยาว

 

ประกายกระบี่ฉวัดเฉวียนแปลงเป็นม่านประกายวงหนึ่ง หน้าไม้ถูกกระแทกปลิวกระเด็น ม่านประกายกลายเป็นลูกกลมมหึมาหมุนวนถึงหน้าประตู

เตี่ยเจี่ยหงีคำรามด้วยโทสะ

ดาบทองใช้ออกด้วยท่า “ฟันภูเขาฮั้วซัวด้วยพลัง” (ลักเพ็กฮั้วซัว) ฟันลงอย่างเร่งร้อน หาคาดไม่ว่าดาบนี้ไม่ทันฟันลง

ในประกายวงกลมพลันปรากฏเงากระบี่สายหนึ่งพุ่งวาบออกมา

ความรวดเร็วของกระบี่นี้ถึงกับรวดเร็วดุจสายฟ้า

เตี่ยเจี่ยหงียามตื่นตระหนกคิดเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าก็ไม่ทันการณ์ เสียงฉึกเมื่อกระบี่แทงใส่คอหอยมัน

โลหิตฉีดพลุ่งราวพลุไฟดอกหนึ่ง

ฉั้งฉิกถอยกายไปครึ่งก้าว หวดกระบองย้อนกลับหลังลงมา แต่ยามนั้นประกายวงกลมแปลงเป็นรุ้งเหินอีกสายหนึ่ง

พุ่งฝ่าไปนอกประตู

 

ฉั้งฉิกคิดติดตามแต่แล้วก็ชะงักเท้า เมื่อเห็นเตี่ยเจี่ยหงียกมือกุมคอหอย ในลำคอบังเกิดเสียงดังครอกๆ

กลับยังไม่สิ้นใจ

อาฮุยเพียงคิดฝ่าวงล้อม จึงถือการทำร้ายคนเป็นเพียงเรื่องรอง ดังนั้น กระบี่กลับแทงเบี่ยงเบนไป 2 นิ้ว

พอดีแทงผ่านหลอดลมกับหลอดอาหาร ไม่ได้ถูกจุดชีวิต

เหลียวดูอาฮุย คนพุ่งปราดออกนอกประตูลานตึกน้อยแล้ว ฉั้งฉิกความจริงคิดติดตามออกไปต้องหดตัวกลับมา

เสียงฉึกเมื่อกระบี่ยาวปักใส่ผนังกำแพงด้านตรงข้าม

จนบัดนี้อิ่วเล้งเซ็งเจ้าของกระบี่ค่อยทอดถอนใจยาวพร้อมกับคำกล่าว “บุรุษหนุ่มผู้นี้มีฝีมือรวดเร็วยิ่งนัก ข้าพเจ้าเห็นมันร่ายรำกระบี่ด้วยมือซ้าย ในประกายกระบี่เกิดช่องโหว่ขึ้นต้องไม่อาจต้านทานหน้าไม้เทพยดาของบริวารฉั้งฉิกเอี้ย

ที่น่าประหลาดคือ มันกลับไม่ได้รับบาดเจ็บ”

อิ่วเล้งเซ็งเหม่อมองกระบี่ที่ปักอยู่บนผนัง ทอดถอนใจอย่างหนักหน่วง “วันนี้มันไม่สมควรมา ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรมา”

ทำไมอิ่วเล้งเซ็งจึงได้กล่าวเช่นนี้

 

คําถามก็คือ ใครกันเล่าที่นำเนื้อความว่าด้วยการจับกุมลี้คิมฮวงไปแจ้งแก่อาฮุย เด่นชัดยิ่งว่าเป็นลิ่มเซียนยี้

คำถามก็คือ ไฉนอิ่วเล้งเซ็งจึงรู้ว่าอาฮุยจะมา

จึงไม่เพียงแต่มันจะแปลงร่างนอนขดอยู่ภายใต้ชุดเตียวสวมใส่รอคอยการมาของอาฮุยอย่างเยือกเย็น

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีเตี่ยเจี่ยหงีพร้อมกับดาบทอง

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีกระบองหวายฉั้งฉิกและบริวารอีก 10 กว่าคนพร้อมหน้าไม้เทพยดาเตรียมจัดการกับอาฮุย

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระบบ เป็นขบวนการ

ทุกอย่างสะท้อนให้เห็นการวางแผนในลักษณะสมคบคิดระหว่างลิ่มเซียนยี้กับบรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลาย

ถามว่าทั้งหมดอยู่ในความรับรู้ของเล้งโซ่วฮุ้นหรือไม่