เปลี่ยนผ่าน : ครุ่นคำนึงเรื่อง “ความเชื่อ” จาก “คาร์ลอส โรอา” ถึง “กลุ่มเตือนภัย (เขากะลา)”

เมื่อเดือนก่อน โลกผ่านวันที่ 23 กันยายน 2560 ไปด้วยสภาวะอันเป็นธรรมดาปกติ ไม่ได้เกิดเหตุดาวเคราะห์เอ็กซ์ (Planet X) หรือดาวนิบิรุ พุ่งชนโลกจนเกิดมหันตภัยตามมาและมนุษยชาติจะถึงกาลอวสาน

ตามที่ “เดวิด มี้ด ชาวอเมริกัน” ผู้เขียนหนังสือ “Planet X : The 2017 Arrival” ว่าเอาไว้

ก่อนที่เจ้าตัวจะอธิบายในเวลาต่อมาว่า ผู้คนตีความคำทำนายของเขาผิด ส่วนองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (นาซา) ก็ยืนยันว่าดาวดวงนี้ไม่มีจริง

แต่นี่เป็นอีกครั้ง ที่เรื่องของภัยพิบัติและวันสิ้นโลกกลับมาอยู่ในความสนใจ

ย้อนกลับไปเมื่อ ค.ศ.2000 (พ.ศ.2543) เหตุการณ์วันโลกแตกปรากฏอยู่ในกลุ่มความเชื่อทางศาสนาของบางนิกาย และความเชื่อนี้ก็ได้เปลี่ยนชีวิตบางคนไปโดยสิ้นเชิง

“คาร์ลอส โรอา” คือนักฟุตบอลตำแหน่งผู้รักษาประตู เป็นตัวหลักของทีมชาติอาร์เจนตินาในขณะนั้น เขาเริ่มเล่นฟุตบอลกับ 2 สโมสรในบ้านเกิด คือ ราซิ่ง คลับ ตามด้วย ลานุส

จากนั้นโรอาย้ายข้ามฟากมายังสเปน เพื่อเล่นกับเรอัล มายอร์ก้า ในปี 1997 ผลงานโดดเด่นทำให้เขายึดตำแหน่งมือ 1 ในทีมชาติ และช่วยทีมผ่านไปเล่นรอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก ปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส

เกมที่ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก คือ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ขุนพลฟ้าขาวพบกับทีมชาติอังกฤษ ในนัดแห่งความทรงจำ ที่ “ไมเคิล โอเว่น” ลากตะลุยเข้าไปยิงประตูแจ้งเกิด และ “เดวิด เบ๊กแฮม” ถูกใบแดงไล่ออก จากการเอาขาไปสะกิด “ดิเอโก้ ซิเมโอเน่”

เกม 90 นาที เสมอ 2-2 ต้องต่อเวลาพิเศษ และตัดสินด้วยการดวลลูกโทษ โรอาป้องกันประตูได้ถึง 2 ครั้ง จากลูกยิงของ พอล อินซ์ และลูกตัดสินของ เดวิด แบ็ตตี้ ช่วยให้ทีมของเขาชนะไป 4-3

แม้อาร์เจนตินาจะแพ้ฮอลแลนด์ตกรอบ 8 ทีม แต่ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยม น่าจะทำให้เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพของ คาร์ลอส โรอา ดำเนินไปได้อย่างสวยงาม โดยเฉพาะการตกเป็นข่าวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมยักษ์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

แต่แล้วชีวิตด้านจิตวิญญาณก็นำเขาไปอีกทาง เมื่อโรอาเข้าร่วมกับคริสตจักร “เซเว่น-เดย์ แอดเวนติสต์” ที่ให้ความสำคัญกับวันสิ้นโลกเป็นพิเศษ

จากการอุทิศตนให้กับศาสนาอย่างเข้มข้น และด้วยความเชื่อที่ว่า ค.ศ.2000 ที่กำลังจะมาถึง จะเป็นจุดสิ้นสุดของโลก ทำให้โรอาประกาศเลิกเล่นฟุตบอลแบบช็อกโลกด้วยวัยเพียง 29 ปี แล้วไปใช้ชีวิตร่วมกับภรรยาอยู่ในชนบทที่เงียบสงบในบ้านเกิด เมืองซานตาเฟ่ รัฐนิวเม็กซิโก ประเทศอาร์เจนตินา เพื่อสวดภาวนา และเรียนรู้การมุ่งไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

ภายหลังการข้ามผ่านสหัสวรรษใหม่ โดยโลกไม่ได้แตกสลาย โรอาไม่ได้สูญเสียศรัทธา วัตรปฏิบัติที่เจ้าตัวประพฤติเป็นประจำ เช่น การเลิกกินเนื้อสัตว์ จนมีฉายาว่า “เจ้าผักสลัด” ยังคงดำเนินต่อ แต่เขาตัดสินใจที่จะกลับมาสานต่อเส้นทางของนักฟุตบอลที่ถูกตัดขาดไป

สัญญาที่คงเหลือกับเรอัล มายอร์ก้า ในสเปนอีก 2 ปี ทำให้เขาได้กลับมาสู่โลกของฟุตบอลอีกครั้ง แต่ก็ต้องตกเป็นตัวสำรองของ “ลีโอ ฟรังโก้” ผู้รักษาประตูเพื่อนร่วมชาติ ที่ขยับขึ้นมาจากทีมสำรอง เขาจึงตัดสินใจยอมลดระดับไปเล่นกับอัลบาเซเต้ ทีมในลีกา 2 ในปี 2002 และยังเล่นได้ดีจนช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นกลับสู่ลาลีกาได้สำเร็จในปีเดียว

ขณะที่ตัวเขาเองได้รับความสนใจจากอาร์เซนอล อีกทีมจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้ไปทดสอบฝีมือ 5 วัน ซึ่ง “อาร์แซน เวนเกอร์” ผู้จัดการทีมปืนใหญ่พอใจมาก แต่ไม่สามารถเซ็นสัญญาได้ เนื่องจากโรอาไม่มีพาสปอร์ตยุโรป และหลุดจากทีมชาติอาร์เจนตินาแล้ว จนไม่เข้าหลักเกณฑ์การขอใบอนุญาตทำงานในอังกฤษ

เรื่องตลกร้าย คือ หลังจากนั้น 2 ปี “มานูเอล อัลมูเนีย” นายทวารชาวสเปน ตัวสำรองของโรอาที่ทีมอัลบาเซเต้ กลับได้เซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นของทีมปืนใหญ่แทน

บททดสอบในชีวิตเข้ามาหาโรอาอีกครั้ง เมื่อเขาถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก ทั้งที่ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า รักษาสุขภาพอย่างดีในฐานะนักกีฬา

เขายอมรับว่ารู้สึกเหมือนกับโลกทั้งใบจะถล่มทลายลงแทบเท้าเพราะทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี โรอาต้องหยุดเล่นฟุตบอลอีกครั้งเพื่อเข้ารับการรักษาและทำเคมีบำบัด

หลายคนเชื่อว่าเขาน่าจะต้องปิดฉากชีวิตนักเตะอาชีพแล้ว แต่ศรัทธาในพระเจ้าที่หลายคนหัวเราะเยาะ ก็ช่วยทำให้ผู้รักษาประตูชาวอาร์เจนตินามีกำลังใจฝ่าฟันอุปสรรค จนกลับคืนสู่สนามฟุตบอลได้ใหม่อีกครั้ง

เกือบหนึ่งปีเต็มผ่านไป เขากลับมาฝึกซ้อมกับทีมระดับล่างในสเปน จนย้ายกลับไปเล่นให้กับสโมสรโอลิมโป ในประเทศบ้านเกิด ซึ่งโรอาได้รับการต้อนรับอย่างดี

และหลังจากเล่นไปตลอดฤดูกาล 27 นัด คาร์ลอส โรอา ก็ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการในวัย 36 ปี หลังจากนั้น 2 ปี เขาจึงเข้ารับงานเป็นโค้ชผู้รักษาประตู

อีกเรื่องที่ว่าด้วยความเชื่อ เมื่อเร็วๆ นี้ ทีมงานรายการ “เป็นเรื่อง!” ที่ออกอากาศผ่านเฟซบุ๊กข่าวสด ทุกคืนวันพุธ 20.30 น. ได้คุยกับสมาชิก “กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)” กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าพวกตนสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวที่ต้องการมาเตือนเรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดบนโลกนี้ได้โดยทางจิต

โดย จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ผู้ก่อตั้งกลุ่ม อ้างว่าได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน จากการเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิมาโดยตลอด

หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวก็มาปรากฏให้เห็นเป็นจานบิน บนเขากะลา จ.นครสวรรค์ สถานที่ที่ทางกลุ่มเชื่อว่าเป็นจุดเชื่อมต่อกับมนุษย์จากดาวและจักรวาลอื่นได้ และยังปรากฏ ณ จุดอื่นๆ ทั่วโลกอีกหลายครั้ง

ภารกิจที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา) ทำ เป็นไปตามคำสอนที่พวกเขาบอกว่ามาจากมนุษย์ต่างดาวจากดาวพลูโต คือ การศึกษาธรรมะเพื่อละวางตัวตนและฝึกจิตเพื่อจะได้รับการติดตั้ง “เครื่องมือ” ซึ่งหมายถึงการติดต่อรับสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวได้

เมื่อถึงวันที่โลกจะเกิดภัยพิบัติ พวกเขาจะเป็นกำลังสำคัญร่วมกับคน ณ จุดอื่นๆ ทั่วโลก ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ประสานงานกับต่างดาวในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

“เขาจะสื่อสารเรื่องนี้ กลุ่มคนกลุ่มนี้จะสามารถช่วย เราไม่รู้ประมาณเท่าไร แต่ช่วยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในปริมาณที่มากให้ข้ามพ้นไปได้ โดยอาศัยเครื่องมือของเขาในการช่วยเหลือ ตอนนี้เครื่องมือของเขามีหลายเรื่อง แต่พูดไปก็เป็นเรื่องความคิด คนฟังก็จะแบลงก์ อะไรน่ะ กลายเป็นเรื่องลึกลับ ซึ่งคงไม่สามารถจะพูดได้ แต่เครื่องมือมีมาหลายแบบแล้ว”

วาสนา ชื่นสำนวน สมาชิกระดับนำของกลุ่มเขากะลาบอกเอาไว้

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา) เชื่อว่าภัยพิบัติตามคำเตือนจากนอกโลกนั้น ถึงจะไม่ทำให้โลกย่อยยับลงไป แต่ก็อาจจะเสียหายหนักจนถึงขั้นจวนเจียนจะสิ้นโลกได้ พวกเขายังตอบไม่ได้ว่าภัยดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะมนุษย์ต่างดาวจะบอกเฉพาะเรื่องที่เป็นปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เสียสภาวะจิตที่ไม่ปรุงแต่ง

ช่วงเวลาตลอด 20 ปีของการดำเนินกิจกรรม ทางกลุ่มยอมรับว่าต้องเจอคำถากถางมากมายว่าเป็น “พวกเพี้ยน” แรกๆ ก็เป็นทุกข์ แต่ภายหลังเมื่อมีธรรมะมากพอก็จะเข้าใจ และยังยืนยันจะทำหน้าที่ของตัวเอง เพื่อเผยแพร่เรื่องนี้ต่อไปโดยไม่สนเสียงวิจารณ์

ไม่ว่ากรณีของ คาร์ลอส โรอา กับเรื่องราวชีวิตประดุจตำนาน หรือกรณีของกลุ่มเขากะลา กับภารกิจที่ดูจะเชื่อได้ยากในสายตาคนอื่น

สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือ “ความเชื่อ” เรื่องจุดสิ้นสุดของโลกหรือภัยพิบัติใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินที่จะพิสูจน์ ตราบใดที่เหตุการณ์เหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้นจริง

กรณีของโรอา ที่เลยเส้นตายวันสิ้นโลกมาแล้วแต่ไม่เกิดอะไรขึ้น ยังถูกตั้งคำถามเสมอมาว่า ถ้าเขาไม่เลิกเล่นฟุตบอลเพราะเชื่อว่าโลกจะแตกในปี 2000 ชีวิตค้าแข้งของผู้รักษาประตูชาวอาร์เจนตินาจะเดินไปในเส้นทางไหน

แต่ก็ต้องไม่ลืมเช่นกันว่าตอนที่โรอาป่วยหนักหลังจากนั้น ไม่ใช่เพราะ “ความเชื่อ” และ “ศรัทธา” หรือ ที่ทำให้เขากลับมาได้

บางที สำหรับชีวิตที่ล่องลอยไปราวเรือลำน้อยในผืนทะเลอันกว้างใหญ่ การมีอะไรให้เป็นหลักยึดเหนี่ยว แม้จะเปราะบางแค่ไหนในสายตาคนอื่น

แต่อย่างน้อยความเชื่อดังกล่าวก็ยังทำให้รู้ว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

รับชม “เป็นเรื่อง!” รายการทอล์กแนวเจาะลึก ตอน “ธรรมะจากต่างดาว” และตอนอื่นๆ ย้อนหลัง

ได้ทางยูทูบ Matichon TV เลือกเพลย์ลิสต์ “เป็นเรื่อง!” หรือทางเพจเฟซบุ๊ก “เป็นเรื่องข่าวสด”