สี จิ้นผิง… นักเล่าเรื่องที่สร้างสไตล์ฉีกแนวอดีต | สุทธิชัย หยุ่น

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

สี จิ้นผิง…

นักเล่าเรื่องที่สร้างสไตล์ฉีกแนวอดีต

 

เมื่อสี จิ้นผิง ได้นั่งกุมอำนาจประเทศจีนอีกหนึ่งสมัย นั่นย่อมหมายความว่าเขาจะต้องเริ่มวางทิศทางของประเทศที่จะต้องเผชิญกับความท้าทายในระดับสากลอย่างเข้มข้น

Xi’s Thoughts หรือ “ความคิดอ่านของท่านผู้นำสี” ก็ยิ่งมีความสำคัญสำหรับสังคมจีนจากนี้ไป

เพราะหากย้อนดูประวัติของสี จิ้นผิง จะเห็นการพิสูจน์ตัวเองว่าต้องฟันฝ่าอุปสรรคในทุกรูปแบบ

เรื่องราวของสีที่ขยายความผ่านสื่อทางการของจีนนั้นสะท้อนถึงการตอกย้ำถึงการที่เขาต้องพิสูจน์ผลงานของตัวเองจากการมุ่งมั่นทำงานในชนบทเป็นหลัก

ภาพที่สื่อทางการออกมาคือผู้นำคนนี้ไม่ได้ก้าวขึ้นมายังตำแหน่งสูงสุดของประเทศได้ด้วยเส้นสายหรือการวิ่งเต้น

แม้คุณพ่อจะเคยมีตำแหน่งใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ก็ถูกกลั่นแกล้งในช่วง “ปฏิวัติวัฒนธรรม” จนเกือบจะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน

เกือบจะทันทีที่เขาได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนพฤศจิกายนปี 2012 กลไกสื่อทางการก็เริ่ม “เล่าเรื่อง” ของเขาในฐานะเป็นบุคคลที่น่าสนใจที่มีคุณลักษณะผิดแผกไปจากผู้นำคนก่อนๆ ในหลายๆ ด้าน

สื่อจีนเขียนประวัติของสีอย่างละเอียด รวมไปถึงเรื่องราวของคุณพ่อที่ต้องเผชิญกับการกดดันทางการเมืองอย่างไม่ปิดบังอำพราง

ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการเขียนถึงอดีตผู้นำจีนคนก่อนๆ

เช่นในยุคของหู จิ่นเทา ซึ่งเป็นผู้นำของพรรคก่อนหน้าสี แทบจะไม่มีใครรู้ข้อมูลส่วนตัวของเขาเลย

คนจีนทั่วไปไม่มีใครรู้ว่าหูคือใคร มาจากไหน พ่อแม่ทำอะไรมาก่อน

ลีลาท่าทางของหูในกิจกรรมสาธารณะล้วนเป็นเรื่องทางการ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “บุคลิกส่วนตัว” หรือ “เสน่ห์ส่วนบุคคล”

คนจีนเรียกหูว่าเป็น “หุ่นยนต์” ที่ทำหน้าที่รายงานสถิติและตัวเลขที่น่าเบื่อหน่ายให้ประชาชนได้รับทราบ

แต่เมื่อสี จิ้นผิง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุด สไตล์ส่วนตัวของผู้นำสูงสุดก็เปลี่ยนไป

สีเปลี่ยนแนวทางของนำเสนอต่อประชาชนด้วยการใช้สรรพนามเรียกตัวเองว่า “ข้าพเจ้า…” แทนที่จะอ้างถึง “พรรค” หรือ “รัฐบาล”

สื่อทางการลงรายละเอียดเกี่ยวกับความสนใจของสีในเรื่องวรรณกรรม, กีฬาและวัฒนธรรม

เรื่องราวของคุณพ่อของสี จิ้นผิง ก็ได้รับการกล่าวถึงในสื่อทางการจีนในมุมที่ว่าเขาเป็น “เหยื่อ” ของ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ที่นำโดยเหมาเจ๋อตุง

แต่สี จิ้นผิง ไม่เคยวิพากษ์เหมา หรือหากเขามีความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเหมา สีก็ไม่เคยพูดอะไรในทางลบเกี่ยวกับผู้นำคนแรกของจีนใหม่ในที่สาธารณะ

มิหนำซ้ำ วันนี้ยังมีคนเปรียบเทียบเขาเป็น “เหมาเจ๋อตุงสมัยใหม่”

และสีก็ไม่เคยปฏิเสธการเปรียบเปรยเช่นนั้น

ดูเหมือนจะได้ผลทางบวกมากกว่าลบสำหรับเขาด้วยซ้ำ

ยิ่งเมื่อมีการผสมเอาภาพของเติ้ง เสี่ยวผิง มารวมกันอยู่ในตัวของสี จิ้นผิง ก็ยิ่งออกมาเป็นภาพทางเด็ดขาดในหลักคิดและทรงประสิทธิภาพในภาคปฏิบัติ

เป็นการผสมผสานที่ผู้นำจีนคนก่อนๆ ไม่สามารถจะกล่าวถึงในรูปแบบเดียวกันได้

ภาพของเหมาคือการยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งสังคมนิยมของพรรค

ส่วนภาพของเติ้งคือผู้นำที่กล้านำความเปลี่ยนแปลงเพื่อผลักดันให้ประเทศจีนก้าวข้ามความล้าหลัง เปิดประเทศและนำเอาแนวทางการพัฒนาประเทศมาใช้เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่สำหรับจีน

“แมวจะเป็นสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้เป็นพอ” คือคำขวัญของเติ้ง

สีไม่จำเป็นต้องกล่าวประโยคนี้ซ้ำ แต่โดยพฤติกรรมแล้วการใช้ “สังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์ของจีน” ก็คือการยืนยันว่าจะเดินหน้าสร้างความสำเร็จบนผลงานของเติ้ง

 

ประวัติของคุณพ่อของสีที่ถูกโยกย้ายในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นแทนที่จะเป็นเรื่องที่ต้องปิดบังหรือบอกเล่าไปในทางที่เป็นบวกกลับได้รับการเล่าขานในสื่อทางการของจีนอย่างเปิดเผย

ในสื่อทางการนั้นท่านผู้นำสี จิ้นผิง เป็นลูกชายของนายทหารผ่านศึกคอมมิวนิสต์จีนชื่อ “สี จงซวิน” (Xi Zhongxun)

ซึ่งเคยมีตำแหน่งค่อนข้างอาวุโสในพรรคคอมมิวนิสต์

คุณพ่อของสี จิ้นผิง เคยมีตำแหน่งสูงถึงรองประธานคณะกรรมการถาวรของสภาประชาชน และเป็นหัวหน้าของฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์

แต่พอเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม เขาก็ถูกจัดอยู่ในพวกที่เป็นปัญหาที่เข้ากับแนวทางของประธานเหมาไม่ได้

สี จงซวิน โดนปลดจากตำแหน่งสำคัญๆ ในพรรคหลายครั้งและโดนข้อหาจนต้องติดคุก

ลูกคนที่สองคือสี จิ้นผิง ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนของวิกฤตการเมืองที่ครอบครัวต้องเผชิญด้วย

หากอ่านสาระจากสื่อทางการจีนจะรับรู้ว่าสี จิ้นผิง ยังเป็นวัยรุ่นขณะที่ถูกเนรเทศไปยังชนบทเหยียนชวน (Yanchuan) หลังจากที่คุณพ่อถูกขจัดออกจากตำแหน่งที่มีอำนาจ

สี จิ้นผิง พักอยู่เหยาตงในหมู่บ้านเหลียงเจียเห (Liangjiahe)

และตัดสินใจเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนและหลังจากที่พิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานอย่างหนัก

มีผลงานจนได้เป็นเลขานุการของสาขาพรรคเล็กๆ

จากนั้นเขาก็เข้าเรียนวิศวกรรมเคมีที่มหาวิทยาลัยซิงหัวซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน

 

ประวัติทางการของสีตอกย้ำถึงการทำงานอย่างทุ่มเทและเสียสละ ไม่มีความรู้สึกผิดหวังหรือต่อต้านพรรคเพียงเพราะคุณพ่อเคยเจอชะตากรรมอันไม่พึงปรารถนาสำหรับครอบครัว

สี จิ้นผิง ก็ก้าวผ่านตำแหน่งทางการเมืองในมณฑลชายฝั่งของจีนนั่นคือเป็นผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนตั้งแต่ปี 1999 ถึง 2002

ก่อนที่จะเป็นผู้ว่าการและเลขาธิการพรรคที่มณฑลเจ้อเจียงที่อยู่ใกล้เคียงระหว่าง 2002 ถึง 2007

และก้าวกระโดดขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคเซี่ยงไฮ้

อันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อชีวิตการเมืองของเขา

เพราะจากนั้นไม่นาน สีก็ได้เข้าร่วมคณะกรรมการถาวรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ Politburo Standing Committee (PSC)

โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะเลขาธิการคนแรกของสำนักเลขาธิการกลาง หรือ Central Secretariat ในเดือนตุลาคม 2007

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2012 คือจุดเปลี่ยนของชีวิตที่สำคัญที่สุด

การประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 แต่งตั้งให้สี จิ้นผิง ผงาดขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของหู จิ่นเทา ในฐานะผู้นำสูงสุด

 

เรื่องราวที่ด้านบวกเหล่านี้ได้รับการเล่าขานอย่างต่อเนื่อง…รวมถึงแนวทางการปราบคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังและการปลุกระดมคนจีนได้มีความรักชาติเพื่อไม่ให้ต่างประเทศมาแทรกแซงหรือสกัดการเติบใหญ่ของเศรษฐกิจได้อีกต่อไป

แต่หากมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวอื่นๆ ที่จะเจาะลึกไปกว่านั้น ทางการจีนก็ดูเหมือนจะมีเส้นแดงที่ขีดกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนเช่นกัน

นักข่าวตะวันตกเช่นที่มาจาก Bloomberg และ New York Times ที่ตั้งคำถามเมื่อปี 2011 และ 2012เกี่ยวกับครอบครัวของสีและความมั่งคั่งส่วนตัวก็มีอันต้องเจอกับการตรวจสอบและปฏิกิริยาที่ไม่เป็นมิตร

เว็บไซต์ของทั้งสองสื่อสหรัฐถูกบล็อกทันทีเมื่อทั้งสองสื่อเขียนถึงความพยายามจะตั้งคำถาม “นอกกรอบปกติ” เหล่านั้น

ดังนั้น เรื่องที่คนข้างนอกอยากรู้จริงๆ หลายเรื่องก็ยังเป็นมุมที่ดำมืด

แต่เรื่องที่ทางการจีนอยากให้รู้เกี่ยวกับผู้นำนั้นมีรายละเอียดที่ป้อนให้รับทราบกันมากมาย