คำ ผกา | กลียุคที่เพิ่งเริ่ม

คำ ผกา

คำ ผกา | กลียุคที่เพิ่งเริ่ม

จากเหตุการณ์กราดยิงหนองบัวลำภูอันเป็นเหตุการณ์ที่บีบหัวใจคนทั้งโลก เพราะเป็นการกราดยิงเข้าไปในศูนย์เด็กเล็ก กว่าสิบชีวิตที่ดับสูญลงเป็นชีวิตของเด็กไร้เดียงสา ครูที่ตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะปลิดชีวิตตัวลง เขาได้ปลิดชีวิตภรรยาและลูกของเขาอีกด้วย

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่นำมาซึ่งความโศกเศร้า อึมครึม หม่นมัวในหัวใจของเราทุกคนที่ไม่อาจจะจินตนาการถึงความโศกสลดของครอบครัวผู้สูญเสีย สำหรับฉันมันเป็นเหมือนฝีหนองของแผลที่เน่าเฟะมายาวนานของสังคมไทย ภายใต้ระบอบการปกครองที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ

หลายคนอ่านมาถึงตอนนี้อาจจะขมวดคิ้วแล้วบอกว่าฉันเพ้อเจ้อ เอะอะก็กล่าวโทษเผด็จการ เอะอะก็เอาทุกเรื่องไปโยงกับประชาธิปไตย ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็นต์มีเหตุการณ์กราดยิงมากและบ่อยกว่าเราอีก

แต่ก่อนที่เราจะเถียงกันตรงกัน เราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า ย้อนหลังไป 10 ปี เราไม่เคยมีเหตุกราดยิงในสังคมไทยมาก่อน

และเหตุกราดยิง 2 ครั้งที่ใหญ่ที่สุดของไทย ครั้งหนึ่งที่โคราช ทำโดยทหารชั้นผู้น้อย อีกครั้งหนึ่งคือที่หนองบัวลำภู ทำโดยตำรวจชั้นผู้น้อยที่ถูกไล่ออกจากราชการ ด้วยข้อหาครอบครองยาบ้า 1 เม็ด

เหตุกราดยิง หรือสังหารหมู่โดยน้ำมือคนธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก เกิดจากหลายปัจจัย เช่น แรงจูงใจทางการเมือง จากคนที่สมาทานแนวคิดฟาสซิสต์ นาซี กลุ่มขวาจัดหัวรุนแรง จากลุ่มสุดโต่งทางศาสนา ความเชื่อ (เช่น ลัทธิโอม ชินริเกียว) หรือแม้กระทั่งมาจากกลุ่มคนที่ถูกกลั่นแกล้ง ดูหมิ่น เหยียดหยาม จากสังคม กลุ่มคนที่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก แตกต่าง ถูกกีดกัน ถูกกระทำ จนเกิดความโกรธแค้นต่อสังคมโดยรวม และต้องการแก้แค้นโดยปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

พูดให้เข้าใจง่ายคือ คนเหล่านั้นสูญเสีย “สายสัมพันธ์” ต่อโลกและเพื่อนร่วมโลกไปโดยสิ้นเชิง เหลือแต่ความโกรธและความเกลียดชังล้วนๆ

ในงานวิจัยเรื่องนี้มีสถิติชัดเจนว่าผู้ก่อเหตุไม่ได้เป็นโรคทางจิต แต่มีปัญหาทาง “สุขภาพจิต” และปัญหาทางสุขภาพจิตนั้นไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง

ย้อนกลับมาดูสองกรณีในประเทศไทย ทั้งกรณีจ่าทหาร และนายสิบตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการ พ่วงมาด้วยปัญหาการใช้ยาเสพติด ทำให้เราพอเห็นภาพกว้างๆ ว่า มันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างกับสุขภาพจิตของทั้งทหารและตำรวจชั้นผู้น้อย

ปัญหาสุขภาพจิตของทหารและตำรวจชั้นผู้น้อยเกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธิปไตยอย่างไร?

ฉันไม่ได้บอกว่าประชาธิปไตยคือยาผีบอกรักษาได้ทุกโรค แต่การที่ไม่มีประชาธิปไตยติดต่อกันเป็นเวลายาวนานต่อเนื่องเกือบสิบปีทำให้ปัญหามันทวีความซับซ้อนและมีแต่จะเลวร้ายลง

เคสจ่าที่โคราชทำให้มีการเปิดโปงขบวนการที่ทหารยศสูงกว่าทำธุรกิจหลอกลวง เอาเปรียบทหารชั้นผู้น้อย สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป ไม่มีการคลี่คลาย ไม่มีการสะสางหาความจริง

และนี่เป็นเพียงร่องรอยให้เราเห็นว่า ระบบบริหารจัดการในกองทัพนั้นเป็นเรื่องลึกลับ พิศวงสำหรับคนภายนอก และเราก็รู้อีกว่า ใครก็ตามที่พยายามจะออกมาเปิดโปงเรื่องไม่ชอบมาพากลเหล่านั้นก็มักจะสิ้นอนาคตเสียก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย จะพูดว่ากองทัพเป็นหน่วยงานที่ไม่โปร่งใส ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะกระทรวงกลาโหมได้ดัชนีความโปร่งใสจากประชาชนสูงถึง 100%

ในขณะที่ปี 2558 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เผยแพร่ “รายงานดัชนีป้องกันคอร์รัปชั่นในกองทัพ” (Government defence Anti – Corruption Index – GI) ซึ่งจัดทำสำรวจการคอร์รัปชั่นในกองทัพ และประเทศไทยอยู่ในระดับ E ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดคอร์รัปชั่นในกองทัพ สำหรับกลุ่มประเทศที่อยู่ในระดับเดียวกับไทย ได้แก่ จีน ปากีสถาน ศรีลังกา https://mgronline.com/politics/detail/9580000128889

วัฒนธรรมอำนาจนิยม วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ เมื่อถูกหลอมรวมเข้ากับระบบบริหารงานบุคคลที่เน้นระบบอุปถัมภ์พวกพ้องมากกว่าระบบคุณธรรม ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ คุณภาพชีวิต สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการ ระหว่างนายทหารชั้นผู้ใหญ่กับทหารชั้นผู้น้อย กลุ่มบุคลากรที่อยู่ล่างสุดของระบบนิเวศน์ ทว่า ถูกหล่อเลี้ยงมาให้คุ้นชินกับการใช้ความรุนแรง และใช้กำลังมากกว่าเหตุผล จึงจินตนาการได้ไม่ยากว่า เมื่อกลุ่มคนที่อยู่ล่างสุดของระบบนิเวศน์และห่วงโซ่อาหาร เมื่อเผชิญกับภาวะคับข้องใจจากความไม่เป็นธรรม หรือจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม พวกเขาจะเลือกแสดงออกซึ่งความโกรธและความแค้นแบบไหน

เมื่อมีชีวิตอยู่ในองค์กรที่มีวัฒนธรรมของการใช้อำนาจและความรุนแรง พวกเขาก็แสดงออกมาผ่านอำนาจ ความรุนแรง และอาวุธ เมื่ออยู่ในองค์กรที่ไม่มีวัฒนธรรมที่เชิดชูคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ความโกรธของพวกเขาก็ถูกแสดงออกมาเยี่ยงปีศาจตนหนึ่ง – ก็เท่านั้นเอง

ส่วนองค์กรตำรวจนั้นไม่ต้องพูดถึง เราได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมายาวนานมากเรื่องการจ่ายเงินค่าตำแหน่ง ค่าโยกย้าย การจ่าย “ส่วย” ให้นายกันเป็นทอดๆ เงินเดือนตำรวจที่น้อยนิด ไม่พอใช้ ต้องหารายได้จากการรีดไถ เก็บส่วยธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ตำรวจกลายเป็นมาเฟียคุมบ่อนคุมซ่อง ตำรวจค้ายาเอง

เหล่านี้ล้วนแต่เป็น “เรื่องเล่า” ที่คนไทยได้ยินกันมายาวนานจนเป็นเรื่องสามัญสำหรับเราทุกคน

เรื่องเล่าหมาดๆ ที่เราได้อ่านได้ฟังกันก็คือ ตำรวจตงฉินที่ตามคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา สุดท้ายต้องลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย เพราะการทำงานอย่างตรงไปตรงมากลับเป็นภัยต่อชีวิตของตำรวจเสียเอง

นี่ขนาดเป็นตำรวจยศนายพล แล้วเราจะเอาอะไรมาการันตีว่าชีวิตตำรวจชั้นประทวนจะไม่เจอกับระบบอุปถัมภ์ พวกพ้อง การกลั่นแกล้ง

และอีกนั่นแหละ มีคนที่ทนได้ มีคนที่ปรับตัวได้ มีคนที่ทนไม่ได้ ลาออกไปโดยไม่ไปกราดยิงใคร

แต่ใครจะรู้ว่าหนึ่งในล้านคนจะมีคนที่กลายเป็นปีศาจ ลุกขึ้นมากระทำการที่คุกคามชีวิตผู้บริสุทธิ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่ในวัฒนธรรมอำนาจนิยม ความรุนแรงและการใช้อาวุธในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำแดงอำนาจและความเป็นชาย

หากเราพูดถึงตำรวจคนหนึ่งที่สมมุติว่ามีปัญหาเรื่องการใช้ยาเสพติด ขอให้เราจินตนาการถึงสังคมอื่นที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิ่งที่เราคิดได้คือ ตำรวจผู้นั้นจะถูกส่งไปหารือ ปรึกษา พูดคุยกับนักจิตวิทยา จิตแพทย์ เขาคงได้รับคำแนะนำเรื่องการบำบัด การฟื้นฟูสุขภาพ การพักงานชั่วคราว เพื่อกลับมาทำงานใหม่ด้วยสุขภาพที่แข็งแรงกว่าเดิม และไม่ถูกตีตราว่าเป็น “ขี้ยา” ลูกของเขาจะไม่ถูกล้อเลียนกลั่นแกล้ง เพราะการใช้ยาเสพติด เป็นปัญหาเชิงสุขภาพที่แก้ไขได้

หากเราพูดถึงปัญหายาเสพติด หากประเทศของเรามีประชาธิปไตยและยึดมั่นในคุณค่าของความเป็นมนุษย์บริหารประเทศแบบเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง จะมีการกวดขัน ปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดอย่างจริงจัง ไม่ลูบหน้าปะจมูก และจะไม่มีข้าราชการ เจ้าหน้าที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้

การคอร์รัปชั่นที่ร้ายแรงที่สุดคือยึดอำนาจจากประชาชนไปเป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และปล่อยให้คนกลุ่มนั้นใช้อำนาจไปในทางที่มิชอบ นั่นคือ ใช้อำนาจผูกขาดการประกอบธุรกิจทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย แล้วจ่ายเงินส่งส่วยกันเป็นทอดๆ ให้คนที่ถืออำนาจสูงสุด เกิดเป็นวงจรการผูกขาดความมั่งคั่งในกลุ่มคนไม่กี่คน แล้วปล่อยให้ “อบายมุข” ทุกประเภทระบาดในหมู่ประชาชน เยาวชน บั่นทอนทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิตของประชาชนแล้วกล่าวโทษว่า ปัญหาเหล่านั้นเกิดจากประชาชน ชั่ว เลว ขี้เกียจ พ่อแม่ ไม่สั่งสอนลูก ใฝ่ต่ำ ไม่รักตัวเอง

วนลูปกลับมาที่ เพราะประชาชนห่วยแตก จึงไม่ควรปกครองตัวเอง สมควรอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเราต่อไป

นับจากเหตุการณ์กราดยิง ฉันคิดว่าปัญหา “สังคม” ของเราเลวร้ายและวิกฤตเสียจนไม่รู้จะเริ่มสะสางที่ตรงไหน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่บั่นทอนความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว ปัญหาอำนาจนิยมที่สั่งสมจนกลายเป็นวัฒนธรรม ประเพณี การศึกษาระบบอาณานิคมที่กดทับให้คนพื้นเมืองอ่อนแอโง่เขลา ระบบราชการที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นและระบบ อุปถัมภ์ สังคมที่หาความปลอดภัยไม่เจอ

สุดท้ายสร้างประชาชนที่เกลียดชังและหวาดระแวงกันเอง พร้อมประชาทัณฑ์ ทำศาลเตี้ย และกลายเป็นเชื้อไฟของความรุนแรงทวีคูณต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งที่น่าหดหู่ของเราไม่ไช่เหตุการณ์กราดยิงนั้นที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่คือภาวะที่เราตระหนักว่า ผลของความรุนแรงที่สะสมในเชิงโครงสร้างเพิ่งจะได้เริ่มปรากฏตัวให้เห็นเท่านั้น

ใช่ ความน่ากลัวอยู่ตรงที่ มันเพิ่งเริ่มต้น