ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 ตุลาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ล้านนาคำเมือง |
เผยแพร่ |
สักขาลาย
อ่านเป็นภาษาล้านนาว่า “สักขาลาย”
หมายถึง การสักลายเป็นรูป หรือลวดลายตั้งแต่เอวหรือหัวเข่า
ในอดีตการ “สักขาลาย” เป็นวัฒนธรรมหนึ่งในการแสดงออกถึงความเป็นลูกผู้ชายอย่างเต็มตัว ผู้ชายล้านนานิยมการสักขาลายกันมาก เมื่อมีอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่น และจะทำการสักแทบทุกคน
การสักใช้หมึกสีดำ มีพิธีกรรม การเสกคาถากำกับตามความเชื่อ และต่อมาการสักกลายเป็นสักเพื่อความสวยงามตามจารีตประเพณีนิยม เป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึงความเข้มแข็งของลูกผู้ชาย
ทั้งนี้ เนื่องจากในอดีตคนส่วนใหญ่จะนิยมอาบน้ำในแม่น้ำหรือลำห้วย โดยแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิง ในสมัยนั้นผู้ชายที่มีรอยสักหมึกตามร่างกาย โดยเฉพาะที่ขา ต้องสักขาลายด้วยจึงถือว่าเป็นผู้ชายเต็มตัว
หากชายคนใดไม่ได้สักขาลาย ถ้าไปอาบน้ำก็จะถูกล้อเลียนว่าขาขาวเหมือนผู้หญิงควรจะไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิง ทำให้ชายผู้นั้นได้รับความอับอาย
และผู้หญิงก็ไม่ชอบผู้ชายขาขาวถือว่าเป็นคนอ่อนแอไม่สมควรเอามาเป็นคู่ครอง
ด้วยเหตุนี้ผู้ชายในสมัยนั้นจึงนิยมสักขาลายแทบทุกคน
การสักขาลาย คือการสักตั้งแต่บริเวณหัวเข่าขึ้นไปถึงเอว เรียกว่า สักเตี่ยวขาก้อม หมายถึงจะเห็นรูปรอยการสักเหมือนใส่กางเกงขาสั้น ใช้เวลาในการสักนาน แม้จะก่อให้เกิดความเจ็บปวด แต่ก็เป็นบทพิสูจน์ความอดทน
ซึ่งกลุ่มคนสักขาลายเหล่านี้เชื่อว่าเป็นการตอบแทนพระคุณแม่ที่คลอดออกมาดูโลก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสถานะทางสังคม และความพร้อมในการจะเป็นหัวหน้าครอบครัว
รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น
วัฒนธรรมการสักขาลาย จึงเป็นบทพิสูจน์ความอดทนและอัตลักษณ์ของผู้ชายล้านนา เปรียบคำพูดที่ว่า ลูกป้อจายขาบ่ลาย ก่ออายเขียด
การสักขาลาย มักมาจากความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ หรือที่เรียกกันว่า “สักยันต์”
เชื่อว่าเมื่อสักลงไปแล้วจะทำให้มีโชคลาภ แคล้วคลาด ปลอดภัย อยู่ยงคงกระพัน และพ้นจากอันตรายต่างๆ
รูปแบบลายสัก หรือยันต์แต่ละชนิดจะให้คุณที่แตกต่างกัน และผู้ที่สักยันต์จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับที่แต่ละสำนักกำหนดไว้ เช่น ห้ามด่าบิดามารดา ห้ามลบหลู่ครูบาอาจารย์ เป็นต้น การสักยันต์จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. สักด้วยน้ำมัน โดยนำน้ำมันว่านมาทาบนผิวหนัง จากนั้นจะใช้เหล็กเขียนยันต์ลงไป แต่การสักน้ำมันจะไม่มีลวดลายให้เห็นบนเรือนร่าง
2. สักด้วยหมึกจีน โดยการใช้เข็มเหล็กแหลมจุ่มหมึกสีดำผสมว่าน แล้วนำมาทิ่มลงบนผิวหนัง เมื่อเสร็จสิ้นก็จะมีลวดลายต่างๆ โดยลวดลายส่วนใหญ่จะเป็นภาษาขอม และ ภาษาบาลี
การสักขาลายเสื่อมความนิยมมา 60 ปีแล้ว ผู้ชายล้านนาที่สักขาลายที่หลงเหลืออยู่ตามชนบทบางท้องที่ส่วนมากอายุเกิน 80 ปีทั้งสิ้น ยกเว้นชาวปกากะญอที่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ยังมีคนสักขาลายอายุ 30-40 ปี และบางคนอาจมีอายุไม่เกิน 20 ปี
วัฒนธรรมสักขาลายไม่มีการสืบต่อ เนื่องจากความนิยมน้อยลง และส่วนใหญ่มองว่าผู้ที่สักคือนักเลงอันธพาล จนมีคำพูดว่า “สับหมึกใส่ข้อ สับช่อ (จ้อ) ใส่แขน บ่ดีเอาเป็นแฟนเน่อนาย มันร้าย (ฮ้าย)”
อีกทั้งการสักขาลายต้องใช้เวลา ต้องมีความอดทนต่อความเจ็บปวด
ปัจจุบันมีการสักแทตทูที่สอดแทรกเข้าไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นเรื่องแฟชั่น ความสวยงามทางศิลปะ การสักสีแบบปัจจุบันเจ็บปวดน้อยกว่าสักแบบโบราณ
การสักไม่ใช่เฉพาะความเชื่อทางไสยศาสตร์ แต่เป็นแฟชั่น หรือเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งบนเรือนร่าง
บางคนต้องการสักเพื่อบันทึกเรื่องราวของตัวเองในอดีต เช่น การสักรูปสุนัขตัวโปรดที่ตายจากไป สักชื่อคนรักในอดีต
หรือบางคนสักตามแฟชั่นหรือสักตามดารา นักร้อง
ถ้าไม่ศึกษา สืบทอด และบันทึกภูมิปัญญาการสักขาลาย ลูกหลานอาจจะได้เห็นลายสักขาลายจากจิตรกรรมฝาผนังหรือภาพเก่าๆ เท่านั้น •
ล้านนาคำเมือง | ชมรมฮักตั๋วเมือง
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022