คำ ผกา : อนาจารในอาหารไทย

คำ ผกา

ตอนนี้คนไทยคุ้นเคยกับคำว่า food porn หรือ “อาหารในฐานะที่เป็นสื่ออนาจาร” แล้วเป็นอย่างดี

คำว่า “สื่ออนาจาร” เมื่อถูกนำมาใช้กับอาหารกลับไม่น่ารังเกียจ ไม่ผิดศีลธรรม (อาจยกเว้นสำหรับนิกายศาสนาที่เคร่งครัดเรื่องการถือศีลอด)

แต่ความยั่วยวนของมันกลับสร้างความลุ่มหลง อื้อหือ อ้าหา ให้แก่คนดู ดูแล้วก็อยากดูอีก ดูแล้วก็ “เสี้ยน” ก็ “คัน” อยากจะไปติดตามเสาะแสวงหาอาหารนั้นมาลิ้มลองดูบ้าง

หนัง ละคร ซีรี่ส์ การ์ตูน ที่เกี่ยวกับอาหารและจงใจถ่ายภาพ วาดภาพให้ออกมาเป็นภาพยั่วยวนกา,มารณ์ด้านการกลืนกิน ออกมามากเป็นประวัติการณ์

เชฟชื่อดังนอกจากทำอาหารอยู่ในครัวแล้วยังต้องมาออกสื่อ ทำรายการโทรทัศน์ทั้งรายการทำอาหาร รายการตระเวนชิมอาหาร อาหารกลายเป็นตัณหาที่กระตุ้นเศรษฐกิจ เม็ดเงิน วนเวียนอยู่ในทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม บริการ บันเทิง

เมื่อดู food porn ของประเทศต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง food porn ของเกาหลี ญี่ปุ่น ที่คนไทยติดกันงอมแงม (พลอยทำให้อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี ฮ็อตฮิต ติดลมบนในประเทศอย่างรวดเร็ว – ลองคิดดูว่า ร้านอาหารทั้งญี่ปุ่น และเกาหลี เปิดทำการในประเทศมาไม่ต่ำว่าห้าสิบปี แต่ก็ได้รับความนิยมในวงจำกัดมาก จนกระทั่งคนไทยได้ดูหนัง ดูซีรี่ส์ เกาหลี ญี่ปุ่น มากๆ พริบตาเดียวเท่านั้น ที่อาหารสองชาตินี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคนไทยไปโดยที่เราไม่ทันจะรู้สึกตัวเลย – แน่นอนว่ามีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย)

เป็นธรรมดาที่เราเห็น food porn ของอาหารชาตินั้นชาตินี้ เราก็ย่อมคิดว่า เฮ้ยยย อาหารไทยของเราก็อร่อยไม่แพ้ใครในโลก ทำไมไม่มี food porn อาหารไทยบ้าง!
ก่อนจะพูดถึง food porn อาหารไทย ฉันในฐานะที่เสพสื่ออนาจารอาหารอย่างจริงจังและมีตัณหาในทางอาหารสูงมาก ก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงการนำเสนอเรื่องราวของอาหารในเมืองไทย

เช่น มีรายการที่พาไปกินอาหาร ดูการทำอาหาร ก็จับได้ว่า เราเริ่ม “ก๊อบปี้” เทคนิคของมุมภาพแสง จังหวะสโลว์ การทำให้เห็นความเยิ้ม ย้อย ไหล ยืด แห่งวัตถุทางอาหาร เพื่อสื่อถึงความเป็น porn ของมัน

แต่เกือบทั้งหมด มันกลับดูตลกมากกว่าดูน่ากิน

ตลกเพราะมีความพยายามจะเลียนแบบ เทคนิคจากคนอื่น หรือจากเว็บไซต์อื่นที่ฮ็อตฮิต ติดลมบนแล้ว แต่กลับไม่มีความเข้าใจในอาหารที่ตัวเองถ่ายเลย

เช่น ถ่ายมาม่าหม้อไฟร้านข้างทางที่ความเป็น “อนาจาร” ของมันคือความเร็ว ความเขรอะ ความเลอะ ความดิบ ความเถื่อน ความแซบ ความผิดกฎเกณฑ์

แต่ภาพที่ถูกถ่ายออกมากลับใช้ไวยากรณ์แบบถ่ายอาหารหรู ถ่ายออกมาจนทุกอย่างใส นวล ลออตา พาสเทล

แถมยังทำสโลว์โมชั่นตอนตอกไข่ จนนึกว่ากำลังทำซูเฟล่ อย่างนี้เป็นต้น

แล้วก็นั่นแหละ เมื่อมีหนังที่ทำท่าจะเป็น food porn ว่าด้วยอาหารไทยออกมา ทุกคนก็คาดหวังว่าอยางน้อยที่ต้องมีน้ำแตก เอ๊ย น้ำลายหกกันบ้าง

คนจะไปดู food porn มาตรฐานขั้นต่ำสุดที่ต้องได้คือ อาหารต้องเป็น porn จริงๆ ต้องยั่ว ต้องบาป ต้องรักในตัณหา ความใคร่ ที่สำคัญต้องมีความเข้าใจในอาหารบ้าง

เราอาจให้อภัยเรื่องชาตินิยม เรื่องความไม่ถูกต้องของข้อมูล เรื่องการทึกทักว่าอาหารไทยแท้มีอยู่จริง

แต่เราไม่อาจให้อภัยการถ่ายอาหารให้ออกมา fake เหมือนภาพถ่ายโปสการ์ดสมัยสาวสันกำแพงกางจ้องปั่นรถถีบได้อีกต่อไปแล้ว

ทำให้ฉันต้องกลับมาคิดต่อได้อีกว่า คนทำสไตลิ่งอาหารไทยได้ “ดึงดูด” นั้นก็แทบจะหาไม่ได้

เวลาดูภาพการทำสไตลิ่งอาหารไทยที่ค่อนข้างจะเป็นแนวใหม่ ไฉไล อะวองการ์ด ไม่เป็นไทยใส่ชฎา แต่เป็นไทยแบบมีครก มีเขียง มีของ “พื้นบ้าน” แบบจะเอา low culture มา mix มา blend ให้ฮิป ให้คูล มีใบตองแบบตัดมาทั้งก้านปู มีปลาดุกจี่วางแบบแกล้งๆ โยนๆ ไม่ได้ตั้งใจ มีน้ำพริกในครก อะไรก็ว่าไป

แต่ดูยังไงก็ไม่เจอสิ่งที่เรียกว่าเป็น “จิตวิญญาณ” อยู่ในการจัดวางนั้น

แต่ที่เห็นคือความพยายาม พยายามจะพื้นบ้าน พยายามจะหนีออกจากไทยใส่ชฎา

แต่ที่ล้มเหลวคือ มันทำให้เราจับได้ ไอ้วัตถุแห่งความเป็นพื้นบ้านในการสไตลิ่งนั้นมันเป็นแค่พร็อพจริงๆ

มันไม่ได้เกิดจากการ “พบรัก” หรือ “หลงใหล”

มันเป็นการเป็นอะไรสักอย่างของชาวบ้านแล้วอุทานว่า “เก๋จัง”

ถ้าเรามีอะไรแบบนี้ในชีวิต ทำให้คนเห็นว่าเรานั้นช่าง ลุ่มลึก มีความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่เฉิ่มไม่เชย – ของพื้นถื่นในสไตลิ่งอาหารเก๋ๆ ของสไตลิสต์เก๋ๆ มันจึงดูประดักประเดิด

ดูยังไงน้ำ (ลาย) ก็ไม่แตก

 

Food porn ในหนังไทยก็เช่นเดียวกัน ความล้มเหลวของมันน่าจะเกิดจากความหมกมุ่นกับอาหารไทยในจินตนาการ มากกว่าการให้เวลาตัวเอง (ผู้ทำหนัง ช่างภาพ ฯลฯ) ในการทำความเข้าใจ ทำความรู้จักอาหาร

และที่สำคัญการเป็นครูสอนทำอาหาร ไม่ได้แปลว่าคุณจะมีความเข้าใจใน “ตัณหา” ของอาหาร เพราะ “ครู” จำนวนไม่น้อย ก็สอนแบบโรงเรียน “แม่ชี” คือมีความดี ความงาม ความอร่อยในจินตนาการของตนเองอยู่ชุดหนึ่ง

จากนั้นก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะไปอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับจินตนาการของตนเอง

จินตนาการหรือกับดักของคนในแวดวงอาหารไทยกระแสหลักคือ มักเชื่อว่า อาณาจักรไทยอันยิ่งใหญ่อลังการรุ่งเรืองพิสดารมีจริง

ดังนั้น อาหารไทยแท้มีจริง มักเชื่อว่าอาหารไทยอร่อยที่สุดในโลก

คนที่เห็นว่าอาหารไทยไม่อร่อยคือพวกรสนิยมหยาบไม่รู้จักความซับซ้อนของอาหารไทย

แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า อาหารไทย อย่างเป็นทางการ

จนเมื่อ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ เขียนหนังสือ “แม่ครัวหัวป่าก์” ออกมาในปี 2450-2451 และคำว่า “ป่าก์” ในที่นี้มาจากคำว่า “ปากะ” ที่แปลว่า “อาหารการกิน”

สำหรับฉัน “คำนำ” ของ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ เป็น “ความเรียง” ภาษาไทยที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งของโลกวรรณกรรมไทย (ที่ต้องบอกอีกว่า เอดิเตอร์ของหนังสือเล่มนี้คือ เปีย เดอ ลากอล เพชร์ / เรามีเอดิเตอร์หนังสือตำราอาหารไทยเล่มแรกเป็นฝรั่ง)
ฉันอ่านคำนำของหนังสือเล่มนี้ อ่านแล้วอ่านอีกด้วยความทึ่งใน “วิธีคิด” ที่แสนจะเป็นวิทยาศาสตร์ ความแม่นยำในตรรกะ ความละเอียดลออในการอธิบายวิธีคิดที่อยู่เบื้องหลังของหนังสือเล่มนี้

และต้องย้ำว่า มันน่าทึ่งมากที่ทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นระเบียบในแบบที่ฉันไม่เคยเห็นสไตล์การเขียนแบบนี้จากใครอีกเลย

ถ้าใครคิดว่าผู้หญิงเป็นเพศที่เพ้อเจ้อ ฟูมฟาย หากได้อ่านงานเขียนแม่ครัวหัวป่าก์ จะพบว่ามันไม่จริง

ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ สำหรับฉันคือ นักวิทยาศาสตร์ และสิ่งที่ท่านทำในหนังสือเล่มนี้คือพยายามจะวาง foundation หรือฐานรากของวิชาการครัวแบบ “สมัยใหม่” ให้กับสังคมไทย

และนั่นแปลว่า ในสมัยนั้น การครัวของไทยยังเป็นเรื่องของการทำ “ของกิน” ของแต่ละบ้านและอาหารแต่ละบ้านจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ ทรัพยากรของบ้านนั้น

การเข้าถึงวัฒนธรรมต่างชาติต่างถิ่นของบ้านนั้น บ้านเจ้า ขุนนาง ไพร่ ทาส ก็คงรู้จักอาหาร ของกินต่างๆ กันออกไป

และไม่มีใครมา เอ๊ะ ว่า มันควรมีสิ่งที่เรียกว่า “อาหารไทย” หรือไม่ เพราะสำนึกเรื่องชาติ ก็ยังไม่เกิดขึ้น

สิ่งที่ต้องบันทึกไว้อีกก็คือ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ท่านไม่บอกว่าท่านเขียนตำราอาหารไทย ท่านเพียงแต่อยากถ่ายทอดความรู้ ที่ท่านมีออกมาให้เป็นระบบ และอยากทำให้การครัวของคนสยามเข้ามาตรฐานเหมือนการครัวของฝรั่ง

และอยากให้เป็นคู่มือช่วยสำหรับคุณแม่บ้านใช้ในการดูแลครัวเรือน สมาชิกในครอบครัวให้มีสุขอนามัยที่ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น หนังสือแม่ครัวหัวป่าก์จึงเริ่มตั้งแต่การให้ความรู้เรื่องการโภชนาการเบื้องต้น การทำความสะอาด การรักษาความสะอาด เศรษฐศาสตร์ครัวเรือนพื้นฐาน และสิ่งที่ท่านผู้หญิงเปลี่ยน เน้นแล้วเน้นอีก เป็นเรื่องใหญ่ คอขาดบาดตายของหนังสือชุดนี้คือ การสถาปนาระบบชั่งตวงวัดให้ได้มาตรฐานในการทำอาหาร ได้จำแนกการชั่งตวงของเหลว ของแข็ง แป้ง

และท่านอุทิศหน้ากระดาษหลายหน้ามากเกี่ยวกับความสำคัญของเรื่องนี้ และบอกว่า ท่านได้ทดลองหลายครั้งกับการชั่งตวงวัดสัดส่วนของวัตถุดิบจนแม่นยำจึงปรากฏเป็นสูตร

ดังนั้น กำเนิดของตำราอาหารภาษาไทยกำเนิดมาจากการทำให้เกิดความทันสมัยและเป็นมาตรฐานสากล หาใช่การเกิดขึ้นเพื่อสร้างความเป็น “ไทย”

การสอนหุงข้าวในตำราแม่ครัวหัวป่าก์ จึงสอนทั้งการหุงแบบเช็ดน้ำ ไม่เช็ดน้ำ การหุงข้าวแบบแขก การหุงแบบอังกฤษ หุงข้าวสุลต่าน การหุงข้าวผสมเผือก ในยามข้าวแพง ฯลฯ

แค่การหุงข้าวก็มีหลายสัญชาติ ไม่นับว่าเนื้อสัตว์ในสูตรอาหารของแม่ครัวหัวป่าก์ มีทั้ง กวาง กบ ตะพาบ มีเมนูแบบ ต้มเปรตปลาไหล ที่ทุกวันนี้ฉันไม่เห็นใครจะเคลมว่ามันเป็นอาหารไทย ไท้ย ไทย แสนประณีต งดงาม ที่เราควรนำไปอวดชาวโลก

จุดเริ่มต้นของตำราอาหารไทย และการรวบรวมอาหารที่ “คนสยาม” กินในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ จึงบอกไม่ได้ว่ามันรวมเอาไว้กี่สัญชาติ กี่วัฒนธรรม

แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า อาหารไทย” นั้น แปลได้ตรงไปตรงมาว่าคือ “อาหารที่คนไทยกิน” จะเป็นแขก เจ๊ก จีน อาหรับ ฝรั่ง ญี่ปุ่น แต่ครั้งมาถูกอยู่ในครัวไทย ปรุงโดยคนไทย สุดท้ายมันถูก standardized หรือทำให้กลายเป็นสูตรมาตรมาตรฐานโดยผู้หญิงไทยหัวก้าวหน้าชิบเป๋งที่ชื่อ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ – มันก็คือ อาหารไทย นั่นแล

ถ้าเราจะเข้าใจสักนิดว่า จุดเริ่มต้นของการวางฐานรากให้อาหารไทยมาจากความปรารถนาจะสร้างความเป็นสากลให้กับ “ครัวไทย” อีกทั้งยังเปิดรับอาหารจากทุกวัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครัวของเรา เพียงเท่านี้ อาหารไทยจะออกจากมัสมั่นแกงแก้วตา กับแกงกะทิ แกงคั่ว หลน ไปสู่สิ่งอื่นๆ ที่มันน่าสนใจกว่านี้ เช่น ปลาไหลต้มเปรต!!!!

Food porn จะเกิดขึ้นไม่ได้หากเอาอาหารไปวางไว้บนหิ้ง เพราะการสร้างความ “เสี้ยน” ให้กับอาหารต้องกระชากอาหารลงมาเปลือยเปล่าแล้วมองมันอย่างหื่นกระหาย จากนั้นจะค่อยเล้าโลมละเลียดหรือจะสวาปามอย่างตะกลามก็แล้วแต่รสนิยม การทำ food porn ต้องทำจากการอยากกลืนกินอาหาร ไม่ใช่ทำเพราะอยากกราบไหว้อาหาร

food porn ต้องเริ่มต้นจากความใคร่ ไม่ใช่ความรักและบูชา

ไม่อย่างนั้น porn ก็จะกลายเป็น preach คือเทศนาสั่งสอน ตะคอกตะโกนใส่คนดูจนเบื่ออาหารไปตามๆ กัน