ปรับใหญ่ | ลึกแต่ไม่ลับ จรัญ พงษ์จีน

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

 

ปรับใหญ่

 

ภายหลัง “ศาลรัฐธรรมนูญ” เสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง มีมติว่า “ความเป็นนายกรัฐมนตรี” ของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ยังไม่ครบกำหนด ตามกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ ความเป็นนายกรัฐมนตรี “จึงไม่สิ้นสุดลง” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรคสอง

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงเป็นเชนคัมแบ๊กมาบริหารประเทศในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง

โดยเมื่อนับหนึ่งจากจุดสตาร์ตวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 คือวันที่ 6 เมษายน 2560 จะครบ 8 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2568 ซึ่งก้าวแรกแห่งการเอาฤกษ์เอาชัย

“บิ๊กตู่” ไม่ได้แก้เคล็ดในทำเนียบ แต่กลับไปกราบสักการะอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่กระทรวงมหาดไทย ในถ้ำของ “พี่รอง-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เหมือนมี “นัยยะ” สำคัญยิ่งบางประการซ่อนอยู่

ไม่ทันไร ยังไม่มีรายรับ-รายได้เลยสักแดงเดียว “รายจ่ายท่วม” เกิดกระแสข่าวลือกระฉ่อน ก้าวแรกในการกลับมาเสพอำนาจ “บิ๊กตู่ต้องปรับคณะรัฐมนตรี” ทันที ในวันนี้ วันพรุ่ง

เงื่อนไขมาจากแรงกดดันของ “พรรคประชาธิปัตย์” จุดประเด็นกรณีที่ “นิพนธ์ บุญญามณี” รองหัวหน้าพรรค แสดงสปิริต ประกาศไขก๊อกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

“จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รองนายกฯ รัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขว้างก้อนหินถามทางมาจากจังหวัดพังงา เตรียมขออนุญาตเข้าปรึกษาหารือกับ “พล.อ.ประยุทธ์” ถึงแนวทางปรับคณะรัฐมนตรีในสัดส่วนของประชาธิปัตย์

ขณะเดียวกัน ก่อนที่ “นิพนธ์” จะลาออก “นางกนกวรรณ วิลาวัลย์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถูกศาลฎีกาสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม

ขนมผสมน้ำยา ทั้ง “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” ต้องหาคนมาปฏิบัติภารกิจสืบแทน เนื่องจากการเมืองตีกรรเชียงเข้าโค้งสุดท้าย ใกล้จะครบเทอมอยู่หรัดๆ ปล่อยให้เก้าอี้ว่างโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้

กนกวรรณ วิลาวัลย์, นิพนธ์ บุญญามณี

ในสัดส่วนการปรับของ “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จัดการกันเองได้ลงตัว “ค่ายสีน้ำเงิน” ครูใหญ่ “เนวิน ชิดชอบ” กดปุ่มเลือกใครได้สบายหายห่วง แบบไม่มีหือ มีอือ

มีตัวกลั่นพร้อมเสริมใยเหล็กอยู่แล้ว 2 คน ระหว่าง “บุญลือ ประเสริฐโสภา” ส.ส.ราชบุรี พร้อมจะกลับมาทำหน้าที่เก่าได้อีกครั้ง ชิงดำกับ “ชยุต ภุมมะกาญจนะ” ส.ส.ปราจีนบุรี คนหนึ่งคนใด ปลอดแรงกดดัน

ขณะที่ “ค่ายสีฟ้า” ตามโควต้า ผู้ที่จะก้าวมาหยิบชิ้นปลามัน นั่ง “มท.2” แทน “นิพนธ์” ต้องเป็นของ ส.ส.ปักษ์ใต้ ซึ่งชั่วโมงนี้ถือว่า “นายกชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง” ร้อนแรง เฟอร์เฟ็กต์มากที่สุด

แต่พรรษาทางการเมืองในประชาธิปัตย์ อ่อนกว่าใครเขาเพื่อน แถมเจ้าตัวก็แสดงจุดยืนยังไม่พร้อมจะรับตำแหน่ง โอกาสจึงเปิดให้ “ชิงดำ” กัน 2 คนระหว่าง “นริศ ขำนุรักษ์” ส.ส. 5 สมัยจากพัทลุง กับ “ชินวรณ์ บุณยเกียรติ” ส.ส. 9 สมัยจากนครศรีธรรมราช

“ประชาธิปัตย์” อาจจะมีปัญหามั้ง ตรงที่ปรับยกแพ็กเกจ แบบขายเหล้าพ่วงเบียร์ เพราะมีแรงขับเคลื่อนให้ขยับเก้าอี้รัฐมนตรีการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ที่ “จุติ ไกรฤกษ์” ส.ส.พิษณุโลก นั่งว่าการอยู่ เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันว่า เตรียมจะย้ายออกจากค่ายสีฟ้า ไปเป็นกำลังคนสำคัญให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมกับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” มาเป็นเวลานานแล้ว

กรณีที่ว่า ก็น่าไม่ยาก ผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการการพัฒนาสังคมฯ มีอยู่หลายคนด้วยกันที่มีชื่อชั้นพร้อมเสียบ อยู่ในข่ายประกอบด้วย “องอาจ คล้ามไพบูลย์-อลงกรณ์ พลบุตร-ไชยยศ จิรเมธากร”

สรุป แรงกดดันให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ปรับคณะรัฐมนตรี ในส่วนของ “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” น่าจะบริหารความสมดุลกันภายในลงตัว ที่ทำท่าจะ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” อยู่มากกว่าใครเขาเพื่อน ก็เป็นของ “พลังประชารัฐ”

หลัง “บิ๊กตู่” เปิดปฏิบัติการถองแค้น ปลดฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ “นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์” หลุดกระเด็นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

ปล่อยให้ลูกพรรค พปชร.กลุ่ม มุ้งต่างๆ นั่งตาบ๊องแบ๊ว น้ำลายไหล รอชะตาใกล้เหงือกแห้งมาปีกว่าๆ บัดนี้ถึงเวลาฝนตกซะที

เพียงแต่ปัญหาภายใน พปชร. มีความแตกต่างซับซ้อน ยุ่งยากมากกว่า “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” ตรงที่มีศูนย์อำนาจถ่วงดุจกับ “2 ขั้ว” ระหว่าง “ลุงบ้านป่ารอยต่อฯ” กับ “ลุงทำเนียบ”

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, นฤมล ภิญโญสินวัฒน์

สูตรปรับคณะรัฐมนตรีของ “2 ลุง” เลยไปกันคนละอ่าว-คนละแหลม

“บิ๊กป้อม” ต้องการผลักดัน “นฤมล” กลับไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอีกคำรบ กับโควต้าเดิมของ “ผู้กองธรรมนัส” อยากให้เป็นสมบัติผลัดกันชมของ “กลุ่มปากน้ำ” ที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ

ขณะที่ “บิ๊กตู่” ปฏิเสธข้อเสนอ อยากให้โควต้ารัฐมนตรีเป็นของ ส.ส.ปักษ์ใต้ ซึ่งได้รับเลือกมามากถึง 14 ทื่นั่ง ที่เหลือขอจัดการเอง พร้อมเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการดีอีเอส แทน “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” แถมอีกหนึ่งที่นั่ง

“2 ลุง” ยื้อกันหนักสุดๆ มีข่าวคลุกวงในกระซิบว่า “เด็กสายบ้านป่าฯ” จุดไฟสุม หมายเล่นของใหญ่ ไหนๆ ก็ไหนๆ เอากันให้ขี้หักในกันไปเลย

เสนอให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ปรับใหญ่ สลับฟันปลาให้ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ไปนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อ้างว่าเพื่อเตรียมการรับมือศึกเลือกตั้งใหญ่ ที่สภาใกล้ครบเทอม เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ส.ส.ดีกว่าหลายเท่า

และให้โยก “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” มท.1 มานั่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง

“บิ๊กตู่” มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการในฐานะนายกรัฐมนตรี

ขณะที่ “บิ๊กป้อม” มีพลังไฮเพาเวอร์ ในพรรค พปชร.มากกว่าใครเพื่อน

ถึงตอนนี้ คนตาบอดยังมองเห็นว่า “ลุงป้อม” กับ “ลุงตู่” ความรักความผูกพัน “ใกล้จบแล้ว”

“โจโฉ” กล่าวว่า “มิตรที่กลายเป็นศัตรู จะเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด”

“อำนาจ” เสพเข้ามากๆ นานๆ อาการเมาเป็นแบบนี้แหละครับ