ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2565 |
---|---|
เผยแพร่ |
ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด | ธารา ศรีอนุรักษ์
สัตว์หลังเมรุ
ใครๆ ก็เรียกมัน ไอ้แลน ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดง คนเฒ่าคนแก่ พระเถรเณรชี ต่างมองมันเป็นตัวตลก หนักเข้ามองเป็นตัวเสนียดจัญไรของชุมชนเลยก็มี ด้วยชาติกำเนิดไอ้แลนต่ำต้อยชนิดที่ว่าไม่สามารถระบุได้ใครคือพ่อแม่ ชีวิตคนคนหนึ่ง จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมีตัวตนที่ชุมชนตลาดเล็กๆ แห่งนี้ เหมือนกอสวะลอยคว้างมาตามคลอง โดยไม่มีใครสังเกต รู้อีกทีก็มีมันแล้ว
คำว่าไอ้แลน ที่เป็นชื่อมัน ไม่รู้ใครเป็นคนเรียกคนแรก แลนในที่นี้มีสองความหมาย ใช้เรียกสัตว์ตระกูลตัวตะกวดหนึ่ง กับใช้เรียกอวัยวะเพศชายที่ไม่มีเปลือกหุ้มหนึ่ง คำว่าไอ้แลนจึงถูกเรียกออกมาอย่างคึกคะนองปากหากต้องการจะถ่มถุยก้อนกักขฬะใส่ใครสักคนหนึ่ง
ด้วยรูปลักษณ์ทางกายภาพที่สุดอัปลักษณ์ อายุมันตอนนี้ย่างเบญจเพส เนื้อบริเวณคอทั้งหมดมีแต่ผื่นเกลื้อนกลากเป็นภูษาอาภรณ์ ริมฝีปากใหญ่หนาเหมือนขอบครก หน้ากลม ตัวเตี้ยล่ำมะขามข้อเดียว ผิวคล้ำสกปรก ฟันในปากไม่เคยถูกแปรงสีฟันมาช้านาน ขี้ฟันหมักหมมถึงขนาดเอาเหรียญยี่สิบห้าสตางค์เขวี้ยงใส่ เหรียญจะติดฟันได้เลย ที่นอนของไอ้แลนคือหลังเมรุเผาศพวัด มันแม้เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันแต่คุณค่าต่ำต้อยกว่าเด็กวัดคนอื่นๆ ชนิดไม่อาจเทียบได้ ไม่ได้สิทธิ์ขึ้นไปกินข้าวเหลือจากพระ ร่วมวงเด็กวัด ต่อเมื่อเด็กวัดกินเสร็จเหลือทิ้งให้หมา นั่นแหละถึงคิวของมัน
พระ ในมุมมองของชาวบ้านทั่วไปอาจเป็นบุคคลประเสริฐ ใครเห็นก็พากันกราบไหว้คู้ๆ ข้าวปลาอาหารได้กินแต่ของดีๆ อร่อยๆ แต่สำหรับไอ้แลน ตั้งแต่ถูกพระลูกวัดใช้ไปซื้อเบียร์ให้แล้วมันทำเงินหายกลางทาง กลับไปบอกความจริง ถูกคนห่มเหลืองพวกนั้นประเคนบาทาฝ่ามือใส่ยังกะมันไม่ใช่คน ตั้งแต่วันนั้นมันไม่เคยมองพระพวกนั้นด้วยแววตาเดิมอีกเลย ยกเว้นเพียงเจ้าอาวาสพระชรารูปเดียวเท่านั้นที่มันยังมองด้วยแววตาเลื่อมใส แต่คนหัวโล้นอื่นในวัด มันมองด้วยแววตาสัตว์
และด้วยสายตาที่มีความเกลียดสังคมอัดแน่นอยู่นั่นเอง มันเลยถูกรังแกทารุณสารพัด สิ่งอะไรเกิดความเสียหายและหามือคนกระทำผิดไม่ได้ ไอ้แลนจะถูกพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยไม่ต้องรอลงอาญาทันที เป็นต้นว่า ตู้บริจาคค่าน้ำค่าไฟในวิหารหาย เช้าวันนั้นตีนหลายสิบตีนของพระลูกวัดก็ประทับเหนือใบหน้า เนื้อตัวของไอ้แลนทันที
“ผมเห็นมันป้วนเปี้ยนแถวนี้คนเดียว ไม่มีคนอื่นหรอก ไอ้นี่มันเลี้ยงไม่เชื่อง อยู่วัดเปลืองข้าวสุก ให้ข้าวมันสู้ให้หมากินดีกว่า…”
“พอๆๆๆ อย่าทำมัน บางทีอาจไม่ใช่มันก็ได้ สมัยนี้โจรเยอะ”
พระภิกษุชราเจ้าอาวาสร้องห้ามพระหนุ่มด้วยแววตาต่างจากคนอื่นๆ ก่อนถามผู้ต้องสงสัย
“ว่าไงแลน ได้เอาไปหรือเปล่า…”
ไอ้แลนชอบใช้แววตาแทนคำพูด มองพระชราที่ถือกระติกน้ำร้อนส่วนตัวลงโรงฉันด้วยตลอด ท่านไม่ฉันน้ำอื่นนอกจากน้ำต้ม ช่วงแรกๆ ไอ้แลนเคยไปอาสาก่อไฟต้มน้ำให้ท่านบ่อยที่กุฏิ ทำให้ท่านเมตตาไอ้แลนเป็นพิเศษ มันพยายามใช้สายตาอธิบายว่าไม่ใช่มัน แต่ปากมันหนักเกินกว่าจะพูดอะไรออกไป
เพราะเลือกไม่ได้ ถึงจะโดนเกลียดโดนทำร้ายแค่ไหน ไอ้แลนก็ยังอยู่ที่เดิม อาศัยหลังเมรุเผาศพวัดเป็นบ้าน ดีที่ว่าสัปเหร่อขี้เมายังพอมีเมตตาธรรมไม่ไล่มันเหมือนหมูเหมือนหมา อาจเพราะว่าเวลามีงานเผาศพหัวค่ำ สัปเหร่อเฒ่าชอบเมาก่อนเผาศพเสร็จ ไอ้แลนคอยอยู่เป็นเพื่อนช่วยเอาสังกะสีมารองเถ้ากระดูกใต้เมรุให้ พอมีผลประโยชน์ต่อกันบ้าง มันแม้ไม่ได้เล่าเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่ถึงกับปัญญาอ่อนผิดปกติ ยังมีความคิดความอ่านในบางเรื่อง รู้ว่าใครพึ่งได้ ใครพึ่งไม่ได้
แม้ถูกพระในวัดรุมเกลียดชังรังแก แต่ก็ยังอุ่นใจอย่างน้อยๆ มีสัปเหร่อเฒ่ากับพระชราเจ้าอาวาสให้ความเมตตาต่อมัน มองมันเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง
ในตลาด ไม่มีพ่อค้าแม่ขายคนไหนอยากให้ไอ้แลนเดินผ่านร้าน มันเหมือนตัวอัปมงคล ผ่านร้านไหนร้านนั้นเป็นอันขายไม่ได้ตลอดวัน บางร้านเอาน้ำสาด เอาผลไม้เน่าขว้างเมื่อมันเดินผ่าน แต่เมื่อใดเกิดต้องการแรงคนลงไปทำในสิ่งสกปรก เช่น มีหมาตายข้างตลาด ส่งกลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียน มันจะถูกใครก็ได้ในนั้น ใช้ให้เอาหมาไปทิ้ง ถ้ามันยอมทำตามก็ดีไป แต่หากใช้สายตาขวางปฏิเสธจะถูกขว้างทุบตีราวกะว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง ไอ้แลนจะพาร่างหมานั้นไปหลังเมรุ บางตัวก็ขุดหลุมฝัง บางตัวมันนึกสนุกขึ้นมาก็ก่อไฟเผา
เจ้าของตลาดชื่อเสี่ยบัญชา เป็นคนเชื้อสายจีน ถือว่าเป็นคนมีอิทธิพลผู้คนนับหน้าถือตาที่สุด นอกจากเป็นเจ้าของตลาดแห่งนี้แล้ว ยังมีธุรกิจพวกวัสดุก่อสร้าง โรงน้ำแข็ง และอะไรต่อมิอะไรสารพัด เสี่ยบัญชาเป็นอีกคนที่เกลียดไอ้แลนชนิดเข้าไส้ สั่งลูกน้องคนคุมตลาดว่าถ้าเห็นไอ้แลนเข้ามาให้ไล่ออกไป อย่าให้อะไรกิน แต่จนแล้วจนรอดทุกวันกิจกรรมอย่างหนึ่งของไอ้แลนคือมาเดินในตลาด
ที่ตรอกหนึ่งด้านข้างตลาดเป็นตึกแถวสองชั้นโทรมๆ ใครๆ ย่านนี้ต่างรู้ว่าเป็นซ่อง ภายใต้ชื่อร้าน ‘คาราโอเกะ’ มีผู้หญิงปลดระวางจากในเมืองมาอยู่ห้าหกคน เสี่ยบัญชาเรียกเก็บค่าหัวจากผู้หญิงเหล่านั้นอีกที แถมบางคนที่หน้าตาดีวัยยังไม่แก่มากนักเสี่ยก็ซื้อมาให้อยู่เรียกแขก
แรงขับอันหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าคน คือแรงขับทางเพศ ไอ้แลนแม้มีสภาพแตกต่างจากคนอื่นจนไม่อาจเรียกว่ามนุษย์สมบูรณ์เท่าเทียมใคร แต่มันก็มีความต้องการทางเพศเพียบพร้อมเท่าเทียมคนอื่นหรืออาจจะมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำในบางเวลาแปลกเปลี่ยว และสถานที่เดียวที่ทำให้ไอ้แลนคิดว่าสามารถให้มันปลดเปลื้องความปวดอั้นลับเร้นข้างในได้คือการได้ไปนั่งจ้องพวกผู้หญิงในตึกโทรมนั้นแล้วค่อยกลับมาปลดปล่อยหลังเมรุตามประสาของมัน
สองอาทิตย์ก่อน ช่วงพลบค่ำ ท้องฟ้าร่ำไห้กระซิกๆ น้ำตาโปรยลงรดแก้มโลกเบาๆ ไอ้แลนนอนไม่หลับ มันอยากจะไปนั่งมองผู้หญิงในตึกโทรมสักอิ่มใจก่อนกลับมานอนเหมือนทุกครั้ง คราวนี้เป็นความซวยของมันเมื่อไปเจอเสี่ยบัญชา
“เอ้ย! ลากคอไอ้สัตว์หลังเมรุนั่นมาหน่อยโว้ย…”
วันนั้นเสี่ยบัญชาเมาแอ๋ พูดลิ้นพันไม่เป็นภาษาคน พอเห็นร่างไอ้แลนรีบใช้ให้ลูกน้องไปจับตัวมา
“มึงเงี่ยนนักใช่มั้ยวะ ไอ้สัตว์ กูสงเคราะห์มึงให้… เอ้ย! ใครก็ได้ไปลากอีส้มมาหน่อย”
อีส้มที่เสี่ยบัญชาพูดถึง คือกะหรี่ปลดระวางในตึกโทรม สภาพเหมือนรถเก่าผุพัง จนไม่อาจขับขี่ได้ต่อไป แถมซ้ำร้ายมันเพิ่งทราบข่าวร้ายเมื่อสองสามวันนี้เอง เมื่อจู่ๆ ล้มลงด้วยหมดแรง เพื่อนผู้หญิงในซ่องเดียวกันเรียกรถฉุกเฉินให้พาไปโรงพยาบาลประจำอำเภอ ผลตรวจปรากฏว่าหล่อนเป็นเอดส์
“มึงเอากับอีส้มต่อหน้ากูตรงนี้เลย…”
อีส้มเมื่อรู้จุดประสงค์ของเสี่ยบัญชาถึงกับหน้าถอดสี ปากสั่นระริกด้วยความกลัว
“เสี่ยอย่าทำหนูเลย หนูเป็นเอดส์ อย่าให้หนูเอากับไอ้แลนมันเลย สงสารมัน…”
ไม่ทันคำอุทธรณ์จะหมดจากปาก อีส้มถูกเสี่ยบัญชาเอาอะไรสักอย่างฟาดใส่หน้าอย่างแรง จนหล่อนต้องฟุบลงนั่งด้วยความเจ็บปวด
“อีเหี้ย มึงรู้มั้ย กูเสียเงินซื้อมึงมากี่บาท แม่งเสือกเป็นเอดส์ เอากับไอ้แลนต่อหน้ากูเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูกระทืบมึงกระอักเลือดแน่…”
อีส้มกลัวเสี่ยบัญชาจนออกอาการลนลาน รีบคลานเข้ามาหาไอ้แลน สองมือสะเปะสะปะควานจับเสื้อผ้าไอ้แลนเพื่อจะถอด
ท่ามกลางสายตามนุษย์ตัวผู้มากกว่าห้าคู่ สายตาบางตัวกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเห็นความฉิบหายของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ยิ่งไอ้เสี่ยบัญชาถึงขนาดชักปืนจากสะเอวมาถือเพื่อเพิ่มเพลิงอำมหิตให้ทั้งสองตรงหน้ากลัวแล้วยอมทำทุกอย่างตามใจมันต้องการ
สัมผัสจากมือและเรือนร่างเหี่ยวๆ ด้วยอาการป่วยของอีส้ม ไม่ได้ทำให้ไอ้แลนรู้สึกพึงใจในตอนแรก มันพยายามดิ้นขืนการโถมตัวทับของอีกฝ่าย แต่ถูกตีนมากกว่าหนึ่งกระทุ้งไม่ให้เขยิบถอยห่าง อีส้มเปลื้องผ้าของตัวเองออกจนล่อนจ้อน และนี่เป็นครั้งแรกที่ไอ้แลนเห็นเรือนร่างผู้หญิงเต็มตา มันแม้อยู่ในสถานการณ์ไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง แต่ด้วยชีวิตอันบัดซบมาตลอด แรงโหยหาต้องการเหมือนไม่ไยไพอันใดทั้งสิ้น ความเป็นชายมันผงาดพร้อมรับศึกทันทีอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
เสียงหัวเราะดังลั่นพร้อมกันเหมือนเสียงปีศาจยามวิกาล เมื่อเห็นไอ้แลนเกร็งสุดตัวขณะร่างอีส้มคร่อมอยู่ข้างบนขณะใบหน้าของหล่อนเปื้อนด้วยน้ำตา
“สมกันดีแล้ว ไอ้สัตว์หลังเมรุ กับอีกะหรี่ขี้โรค…ฮะฮะฮ่า… ไป้! พวกมึงรีบไปให้พ้นหน้ากู!”
เสียงเสี่ยบัญชาเหมือนหมาตัวดุร้ายเห่ากระโชกให้ทั้งสองรีบผละออกจากกัน อีส้มวิ่งเข้าไปหลังตึกโทรมโสโครก ไอ้แลนรีบสวมกางเกงวิ่งกลับวัด
ความฉิบหายของคนอื่นที่เกิดขึ้นในชุมชน คือเครื่องเคียงชนิดเลิศให้ร้านน้ำชากาแฟตอนเช้า ทุกคนพูดกันถึงเรื่องไอ้แลนกับอีส้มติดเอดส์สมสู่กัน โดยข่าวมีแค่นั้น ส่วนเรื่องที่เสี่ยบัญชากับลูกน้องบังคับให้ทำกลับไม่มีอยู่ในเนื้อข่าว ไม่ทันข้ามวันข่าวแพร่กระจายเหมือนไฟลามทุ่ง บางคนพอรู้ถึงกับทำหน้าผะอืดผะอมเหมือนจะอ้วก จากความรังเกียจในตัวไอ้แลนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วกลับเพิ่มความเกลียดขยะแขยงจากกลัวโรคเอดส์เพิ่มเป็นท้นทวี พระในวัดไม่ยอมให้ให้แลนเฉียดใกล้โรงฉัน เอาก้อนหินขว้างเมื่อเห็น ขนาดตอนมันนั่งลงกินข้าวในกะละมังกับหมาวัด ยังไม่วายถูกพวกพระไล่ ราวกับว่าเดี๋ยวหมาวัดพวกนั้นจะพลอยติดโรคเอดส์ไปด้วย
ด้วยความสงสารพระชราเจ้าอาวาสเก็บอาหารใส่ถุงแล้วเอาไปแขวนไว้ที่หอระฆัง บอกให้ไอ้แลนไปเอา ไม่ต้องมารอที่โรงฉันอีก มันใช้แววตาแทนคำขอบคุณพระชราเหมือนทุกครั้ง พระลูกวัดต่อหน้าเจ้าอาวาสไม่กล้าทำอะไร แต่พอลับหลังแอบเอากับข้าวในถุงทิ้งแล้วเทเศษอาหารจากกระโถนใส่ในถุงให้แทน
ไอ้แลนใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์อยู่อย่างนั้นจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นหลายๆ เดือน ชีวิตของมันไม่มีอะไรจะเสีย และไม่มีอะไรจะได้ เนื้อตัวตอนนี้มีแผลโรคผิวหนังขึ้นลุกลามน่าเกลียด ส่งกลิ่นเหม็นไม่ต่างหมาขี้เรื้อน มันถูกปฏิบัติจากพระในวัดยิ่งกว่าหมาวัดตัวทุเรศที่สุด มันเก็บตัวอยู่ ‘บ้าน’ หลังเมรุของมันไม่ออกไปไหน นอกจากออกไปเอาถุงกับข้าวที่พระชราเจ้าอาวาสห้อยไว้ให้ ทุกครั้งก็ภาวนาให้ในถุงเป็นข้าวปลาพอกินได้ ไม่ใช่เศษอาหารในกระโถนเปื้อนน้ำมูกน้ำลายที่มักได้รับ มันจะย่องเข้าไปในวัดอีกทีต่อเมื่อพระทั้งหมดหลับแล้วเพื่อไปถ่ายหนักที่นั่น
เช้านี้ขณะที่ไอ้แลนนอนซมด้วยพิษแผลจากโรงผิวหนังเรื้อรัง จู่ๆ ก็มีรถเทศบาลมาฉีดน้ำใส่อย่างไม่สนใจว่ามันจะถูกแรงดันน้ำได้รับอันตรายหรือไม่ ข้าวของพวกหมอนเสื่อเก่าๆ ถูกแรงน้ำฉีดหายไปในพริบตา เสียงพนักงานตะโกนไล่… “ไป้ ไปนอนที่อื่นก่อน วันนี้เขาจะมีงานเผาศพ” ไอ้แลนต้องหอบร่างอมโรคมันเข้าไปในป่าละเมาะหลังเมรุ ใช้โคนต้นตะเคียนใหญ่ลับหูลับตาคนเป็นที่พักชั่วคราว
ประมาณบ่ายโมงของวันเดียวกันนั้นเองขบวนศพได้เคลื่อนเข้ามายังฌาปนสถานแห่งนี้ ผู้ตายเป็นแม่ของเสี่ยบัญชา งานศพเลยจัดยิ่งใหญ่ ลานพิธีรอบๆ เมรุ ถูกคนของเทศบาลมาทำความสะอาดแทบทุกตารางนิ้ว ดูสวยงามและเป็นระเบียบ เมรุถูกประดับประดาด้วยดอกไม้สด หลังพิธีกรรมสงฆ์มีการเผาหลอก เพื่อจะได้มีมหรสพเล่นช่วงหัวค่ำ ค่อยเผาจริงตอนเที่ยงคืน
ช่วงเผาจริงมีเพียงคนของเสี่ยบัญชาสองสามคนที่สติสัมปชัญญะถูกน้ำเมากร่อนกินไปเกือบสิ้น กับสัปเหร่อเฒ่าที่สภาพตอนนี้อาการไม่ต่างกัน รอบๆ เมรุเผาศพกลับมาเงียบวังเวงดุจเดิมเมื่อมหรสพเลิกและผู้คนกลับบ้านกันหมด
“ฝากด้วยนะลุง เอานี่ถือว่าน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ พรุ่งนี้แปดโมงเช้านะอย่าลืม เสี่ยจะมาเก็บธาตุ ลุงช่วยจัดการให้เรียบร้อยด้วย…”
เสียงลูกน้องเสี่ยบัญชาสั่งสัปเหร่อก่อนพากันขอตัวกลับ และก็เหมือนเดิม พอเอาศพเข้าเตาแล้วจุดไฟชนวนใส่ถ่านชุ่มน้ำมันก๊าดที่รองอยู่จนไฟลุกท่วม ถึงตอนนี้ไอ้แลนค่อยออกมาจากใต้ต้นตะเคียนที่อยู่ใหม่ สัปเหร่อเฒ่าพอเห็นมันก็สั่งให้จัดการเอาสังกะสีไปรองเถ้ากระดูกด้วยพอไฟเริ่มมอด ตนเองคงทนฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่โหมเติมเข้าไปเหมือนน้ำเปล่าไม่ไหวอีกแล้ว จากนั้นไม่ทันอึดใจก็หลับพับต่อหน้าต่อตาไอ้แลนนั่นเอง
เสียงไก่แจ้ในวัดขันโต้กันในความมืด แววตาไอ้แลนจ้องเขม็งไปในเตาเผา ก้อนถ่านแดงๆ พร้อมกระดูกที่ยังติดไฟค่อยๆ ร่วงจากร่องตะแกรงลงแผ่นสังกะสีที่ไอ้แลนนำไปรองไว้ใต้เมรุ
มันคิดว่าคนอย่างไอ้เสี่ยบัญชาไม่ควรได้กราบไหว้สิ่งมงคลอย่างกระดูกแม่ ว่าแล้วมันรีบไปจุดที่มันเคยเผาร่างหมาเก็บเอากระดูกพร้อมขี้เถ้ามาโปรยบนสังกะสี โกยเอากระดูกแม่เสี่ยบัญชาพาไปทิ้งใต้ต้นตะเคียน มันทำทุกอย่างเสร็จก่อนตะวันขึ้น และแปดโมงเช้าของวันนั้นเองคณะของเสี่ยบัญชาก็เดินทางมาถึง มีโถหินอ่อนอย่างดีสำหรับเก็บกระดูกแม่ไปบูชาที่บ้านและบรรจุใส่บัวประจำตระกูล
เสร็จงาน…สภาพเมรุกลับมาเงียบดั่งเดิม ไอ้แลนยกสัมภาระเน่าๆ ของมันกลับมานอนที่เก่า และทำกิจวัตรประวันวันคือไปเอาถุงอาหารที่พระชราเจ้าอาวาสห้อยไว้ให้ที่หอระฆัง พร้อมกับทำกิจวัตรประจำคืน ถ่ายหนักเมื่อพระในวัดหลับหมด
เย็นวันหนึ่ง ช่วงทำความสะอาดลานวัด เสียงร้องลั่นโกลาหลดังขึ้นจนวัดแทบแตก เมื่อพระลูกวัดที่รับหน้าที่ทำความสะอาดบริเวณแท็งก์น้ำดื่มขนาดใหญ่ประจำโรงฉันขึ้นไปกวาดใบไม้บนแท็งก์แล้วเปิดฝาดูข้างใน
“ไอ้ห่า…มีคนแอบขึ้นไปขี้ใส่แท็งก์น้ำฉัน”
เท่านั้นแหละพระทั้งหมดกรูกันไปดูหลักฐาน ได้เห็นความเป็นไปทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ก้อนใหม่ก้อนเก่าก็ลอยฟ่องขึ้นฟ้องความน่าสะอิดสะเอียน จนพระหลายรูปโก่งคออ้วกแตกอ้วกแตนตามๆ กัน เมื่อรู้ว่าน้ำที่ตนฉันอยู่ทุกวี่ทุกวันเป็นน้ำผสมขี้คน
เป็นครั้งแรกที่ใบหน้ากร้านดำๆ ของไอ้แลนยิ้ม มันยิ้มราวกับว่าโลกทั้งผองเป็นของมัน
ทุกแรงกระทืบที่ถูกพระลูกวัดร่วมกันกระหน่ำชนิดหวังให้ดับดิ้น ได้สะท้อนความสุขภายในใจของมันออกมาอย่างล้นปรี่
มันยิ้ม ใช้แววตาเยี่ยงสัตว์ของมันมองไปยังใบหน้ากลุ่มคนกระทืบ ก่อนหลับตามองแสงสว่างจ้าที่ค่อยๆ ผุดขึ้นจากข้างใน และแสงสว่างนั้นค่อยๆ จ้าจนภาพทุกภาพในห้วงสำนึกของมันกลายเป็นสีแดงพรึบไปทั้งหมด…ก่อนดับวูบลงในที่สุด •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022