ย้อนนาทีเหยื่อ น.ร.สาว ถูกรุ่นน้องปีนหอขืนใจ ร้อง ‘ปวีณา’ คดีไม่คืบ! ศธ.สั่งย้าย ผอ.โรงเรียน/อาชญา ข่าวสด

ขอความเป็นธรรม

อาชญา ข่าวสด

 

ย้อนนาทีเหยื่อ น.ร.สาว

ถูกรุ่นน้องปีนหอขืนใจ

ร้อง ‘ปวีณา’ คดีไม่คืบ!

ศธ.สั่งย้าย ผอ.โรงเรียน

 

ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่เมื่อเปิดเผยออกมาก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับสังคมอย่างรุนแรง สำหรับกรณีนักเรียนสาววัย 17 ปี ที่ผู้ปกครองพามาร้องเรียนต่อสื่อมวลชน ว่าถูกกลุ่มนักเรียนรุ่นน้องพาพวกปีนเข้ามาหาในหอพักกักตัวนักเรียนหญิงที่ติดเชื้อโควิด ก่อนลงมือขืนใจจนสำเร็จความใคร่

เมื่อเรื่องแดงถึงโรงเรียน กลายเป็นว่าพยายามทำให้เป็นเรื่องของการสมยอม ให้เหยื่อนักเรียนหญิงฉีดยาคุมกำเนิด แต่ไม่ดำเนินคดีใดๆ กับกลุ่มนักเรียนชาย

จนหวาดผวาจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ร้องเรียนต่อสื่อมวลชน และมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี

ในที่สุดก็กลายเป็นคดีความ ที่ตำรวจต้องดำเนินคดีอย่างรอบคอบรัดกุม เพราะทั้งผู้ก่อเหตุและผู้เสียหายยังเป็นเยาวชน ต้องสอบสวนต่อหน้าสหวิชาชีพ ถือเป็นในส่วนของการดำเนินคดี

แต่ที่น่าตกใจอย่างยิ่งก็คือโรงเรียนซึ่งควรเป็นที่ปลอดภัย ครูอาจารย์ที่ควรปกป้องดูแล ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถหรือไม่ อะไรสำคัญกว่าสำหรับนักเรียนกับชื่อเสียงของโรงเรียน

ไม่เพียงแค่นั้น กระทรวงศึกษาธิการมีศักยภาพพอจะดูแล หรือเป็นเพียงแค่ไม้หลัก ที่ไม่มีใครสนใจ จนเกิดเหตุทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ยิ่งรัฐมนตรีออกมาสรุปการดำเนินการให้เด็กนักเรียนชายก่อเหตุได้อยู่เรียนต่อ โดยทำภาคทัณฑ์ไว้ และให้เหยื่อนักเรียนหญิงย้ายโรงเรียนแทน

ย่อมกลายเป็นคำถามถึงวิสัยทัศน์และดุลพินิจ ว่าอนาคตการศึกษาไทยจะเดินไปในแนวทางนี้จริงๆ ใช่ไหม!??

ตึกเกิดเหตุ

ตะลึงบุกปีนหอโควิดขืนใจ

เหตุการณ์น่าตระหนกครั้งนี้ปรากฏเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะ เมื่อวันที่ 23 กันยายน โดยผู้ปกครองนักเรียนหญิงวัย 17 ปี เรียนอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เข้าร้องเรียนสื่อมวลชน ว่าเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 เวลาประมาณ 23.00 น. ระหว่างที่นักเรียนวัย 17 ปี อยู่ภายในหอกักตัวโควิด ชั้น 2 มีเด็กนักเรียนชายที่อยู่หอพักใกล้กัน ห่างกันประมาณ 500 เมตร เข้ามาในหอพัก 6 คน

จากนั้นมีเด็กนักเรียนรุ่นน้อง ม.ต้น อายุ 15 ปี เข้ามาใช้กำลังข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ต่อหน้าเพื่อนนักเรียนกว่า 30 คน

และแทนที่โรงเรียนจะดำเนินการ กลับขอให้ปิดข่าว เพราะกลัวเสียชื่อเสียง เมื่อร้องเรียนไปยังกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 12 กันยายน เรื่องก็เงียบ ไม่มีอะไรคืบ ต่อมามีชี้แจงว่าให้เด็กนักเรียนชายทั้ง 5 คนพ้นสภาพการเป็นนักเรียน ต่อมาบอกกลัวเด็กเสียอนาคต ให้ฝ่ายนักเรียนวัย 17 ปี ยอมรับแทนว่าเป็นการสมยอม และให้ฉีดยาคุมกำเนิดแทน

นอกจากนี้ ยังพาเหยื่อสาวเข้าร้องเรียนมูลนิธิปวีณาฯ ในวันที่ 24 กันยายน พร้อมระบุว่า นักเรียนชายทั้ง 5 คนที่ก่อเหตุ ไม่ได้ถูกให้ออกจากโรงเรียนตามที่แจ้งไว้ก่อนหน้านี้ แถมยังได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียนให้เป็นนักกีฬาดีเด่น ขณะที่หลานสาวของตนต้องมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต และต้องย้ายโรงเรียนในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่

พร้อมไล่เรียงเหตุการณ์ว่าได้ย้ายมาจากโรงเรียนที่ จ.เลย เพื่อเรียนต่อโรงเรียนนดังกล่าวได้ประมาณ 2 เดือน ต่อมาวันที่ 21 สิงหาคม โรงเรียนตรวจพบว่าหลานติดโควิด ต้องแยกกักตัวตามสถานที่โรงเรียนจัดไว้ แยกชาย-หญิง โดยมีนักเรียนหญิงที่ร่วมกักตัวอยู่ด้วย 30 คน

ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม มีเพื่อนนักเรียนหญิงหัวโจก พานักเรียนชาย 4 คนแอบมามีเพศสัมพันธ์กันบนหอกักตัว โดยใช้วิธีคลุมโปง ท่ามกลางนักเรียนหญิงทั้งหมดที่อยู่ในห้องเดียวกัน จากนั้นนักเรียนหญิงหัวโจก 2 คน ข่มขู่ทุกคนห้ามเอาเรื่องไปบอกครู ไม่เช่นนั้นจะถูกทำร้าย

ต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม หัวโจกทั้งสอง นัดนักเรียนชายมาอีก ครั้งนี้มา 6 คน 1 ในนั้นคอยดูต้นทาง จากนั้นนักเรียนชาย 4 คนจับคู่กันเหมือนเดิม และมีนักเรียนชายอีก 1 คน อายุ 15 ปี นักเรียนหญิงหัวโจก 2 คน ได้ชี้มาที่หลานสาวชี้เป้าว่าเป็นเด็กใหม่ ให้นักเรียนชายคนดังกล่าวขืนใจโดยคลุมโปงเช่นกัน หลานไม่มีแรงต่อสู้ขัดขืนเพราะเป็นไข้ จนถูกกระทำจนสำเร็จความใคร่

จากนั้นเด็กทั้งหมดก็ออกจากห้องพัก แถมเด็กหญิงหัวโจกทั้งคู่ยังมาข่มขู่อีกด้วย

ฟังแล้วต้องตกตะลึงว่าเกิดขึ้นในสถานศึกษาจริงใช่ไหม!!

ประสานตร.

เด้ง ผอ.-สั่งเยียวยาเหยื่อ

หลังจากเป็นข่าว น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ชัดว่าเรื่องนี้ถือเป็นความบกพร่องของผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งได้สั่งให้ผู้อำนวยการมาปฏิบัติงานที่ส่วนกลางแล้ว รวมทั้งตรวจสอบทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะครูเวรที่ดูแลเด็กในวันเกิดเหตุ ถ้าพบว่ามีความละเลยจริงๆ ให้ดำเนินการทางวินัยอย่างเต็มที่

ศธ.ต้องดูแลนักเรียนทุกคน โดยเฉพาะเด็กกลุ่มเปราะบางที่ต้องมาเรียนร่วมกัน ฉะนั้น ในบริบทที่นักเรียนต้องมาอยู่ร่วมกันนั้น โรงเรียนต้องเคร่งครัดในระเบียบต่างๆ ด้วย

ส่วนนักเรียนผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบ และยังอยู่ในโรงเรียน ศธ.จะดูแลสภาพจิตใจนักเรียนอย่างเต็มที่ ไม่ทอดทิ้ง และไม่ต้องการให้นักเรียนออกจากโรงเรียน เน้นย้ำให้โรงเรียนในกลุ่มโรงเรียนประจำว่าจะต้องไม่ละเลยและไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า วันเกิดเหตุมีนักเรียนติดโควิด-19 จึงต้องแยกเด็กและครูที่ไม่ติด ซึ่งเป็นผู้หญิงประมาณ 5-6 คน อยู่ชั้นล่าง กระทั่งเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับเด็กที่อยู่ระหว่างกักตัวขั้นบน ดังนั้น ครูจึงไม่ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น มาทราบเมื่อเด็กได้เล่าให้เพื่อนฟังและบอกว่าไม่ได้ยินยอมให้เด็กชายมานอนด้วย

ส่วนเรื่องคดีความ นางปวีณา หงสกุล ได้ประสาน พ.ต.อ.รณฤทธิ์ สุธาพจน์ ผกก.สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งทราบว่ามีการสอบสวนต่อหน้าสหวิชาชีพต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยังตั้งข้อสงสัยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า

1. เหตุใดเด็กนักเรียนชายที่ก่อเหตุยังไม่ได้รับการลงโทษ ยังคงเรียนออนไลน์อยู่

2. นักเรียนหญิงหัวโจก ยังไม่ได้ถูกลงโทษ

3. หลังเกิดเหตุทำไมทางโรงเรียนจึงแจ้งผู้ปกครองล่าช้าร่วม 10 วัน ถ้าเด็กเกิดตั้งครรภ์ หรือติดโรคทางเพศจะทำอย่างไร

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะรักษาการนายกฯ มีคำสั่งด่วนให้ น.ส.ตรีนุชเร่งให้ความช่วยเหลือ ดูแลรักษาสภาพร่างกายและจิตใจของนักเรียนหญิงคนดังกล่าว เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจและเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์สถาบันการศึกษาและสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง

พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือเด็กนักเรียนหญิง และผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อนต่างๆ ทันที เยียวยาเด็กนักเรียนหญิงอย่างดีที่สุด ให้ความถูกต้องและได้รับความเป็นธรรม ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว สามารถเข้ารับการศึกษาต่อเนื่องได้ตามปกติ ให้มีอนาคตที่ดีทางการศึกษาต่อไปด้วย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักเรียน ผู้ปกครองและสังคมไทยในการดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว

ต้องไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกอย่างเด็ดขาด

 

สังคมจับตาบทสรุปคดี

ขณะที่สังคมจับตาในเรื่องคดี ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากผู้ก่อเหตุยังเป็นนักเรียน เช่นเดียวกับผู้เสียหายที่เป็นนักเรียนอยู่เช่นกัน แต่ก็มีความคาดหวังว่าจะได้เห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคมไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่ว่าผู้เสียหายต้องตกเป็นเหยื่อต่อไปโดยไม่มีใครดูแล

เช่นเดียวกับเรื่องร้องเรียนที่ระบุว่า หลังจากที่ผู้อำนวยการและครู รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลับไม่มีการดำเนินการเพื่อให้ความเป็นธรรม เพียงต้องการยุติเรื่องให้ได้รวดเร็ว เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จนเกิดข้อสงสัยว่าสิ่งที่กำลังเป็นห่วงคือชื่อเสียงโรงเรียน หรือสถานะความปลอดภัยของตัวครูเอง

โดยเมื่อปรากฏเป็นข่าวดังทั้งในสื่อกระแสหลักและสื่อสังคมออนไลน์ จนมีการย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนมาทำหน้าที่ที่ส่วนกลาง ก็ได้แต่หวังว่าจะมีการสอบสวนอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่แค่การย้ายเพื่อลดกระแส แล้วสุดท้ายก็กลับไปดำรงตำแหน่งแบบเดิม โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาสถานการณ์ใดๆ ให้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 26 กันยายน น.ส.ตรีนุชได้ระบุว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างการเจรจาของผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เปราะปราง ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมถึงขณะนี้นักเรียนหญิงที่โดนก่อเหตุได้ย้ายกลับไปบ้านเกิดตัวเองที่ จ.เลยแล้ว โดยตนประสานเขตพื้นที่การศึกษาให้ดูแลเรื่องการศึกษาของนักเรียนหญิงอย่างเต็มที่ หากเด็กประสงค์จะเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนไหนใน จ.เลย ตนพร้อมดูแล

ส่วนนักเรียนชายที่ก่อเหตุนั้นได้แยกเด็กออกจากโรงเรียน เพื่อให้ไปเรียนออนไลน์แทน และสั่งการโรงเรียนให้ลงโทษทำทัณฑ์บนนักเรียนชายที่ทำความผิด และนักเรียนหญิงที่เป็นหัวโจก เพราะการแก้ปัญหาดังกล่าว ต้องดูให้รอบด้าน ต้องคำนึงถึงอนาคตเด็กด้วยว่าจะเติบโตไปอย่างไรในสังคม ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระบบ การทำโทษต้องเป็นไปตามกรอบระเบียบ ไม่ใช่การปิดโอกาสไม่ให้เขาได้กลับตัวเลย ทุกอย่างต้องรอกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจนต่อไป

เหยื่อถูกขืนใจต้องย้ายโรงเรียน ขณะที่ผู้ก่อเหตุได้เรียนต่อที่เดิม

เป็นบทสรุปเบื้องต้นที่เกิดขึ้นจากเรื่องดังกล่าว!!!