ประลัยจุมพ่าย / ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : บัญชา อ่อนดี

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด

บัญชา อ่อนดี

 

ประลัยจุมพ่าย

 

1

‘…คนอย่างพวกเรามันจะมีสิทธิ์อะไร…’

คำถามนี้ผุดเงียบงันอยู่ในใจผมเสมอเมื่อได้ฟังเธอเธอกล่าวอ้างอย่างจริงใจใสซื่อ

พูดตามตรงนะว่าถ้าชีวิตของผมถูกชะตากรรมกลั่นแกล้งตั้งแต่เริ่มจำความได้มาตราบจนถึงวัยสามสิบกว่าปี พอเจอเธอได้ไม่ถึงยี่สิบวันถึงตระหนักว่าฉากชีวิตในโลกใบนี้ของเธอจมปลักอยู่กับโลกด้านมืดมากมายหลายเท่ากว่า

มากมายหลายเท่ากว่าราวกับชีวิตเธอแทบไม่เคยเจอความเอิบอิ่มใจในแม้เพียงเศษเสี้ยวของมัน

นั่นไง เสียงร่ำไห้แผ่วเบาแว่วให้ได้ยินอีกแล้ว

คืนสองคืนแรก ผมพยายามกลั้นลมหายใจ ค่อยๆ ตะแคงตัวหันไปทางเธอ แม้จะระมัดระวังอย่างไร ทว่า เสียงสะอื้นกลับหายไปและกลายเป็นเธอพลิกร่างหันหน้ามาหาผม เราสองคนนอนห่างกันแค่เอื้อม แสงจันทร์สกาวพอจะทำให้มองเห็นกันได้ในห้องเช่าเก่าแคบ

ความจริงเธอไม่ได้นอนร้องไห้อย่างที่คิด ทว่า ทุกค่ำคืนไม่รู้ฝันร้ายเรื่องใดจึงทำให้จิตใต้สำนึกแสดงความรู้สึกร้าวระทมออกมา

ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันเกินสัปดาห์จึงเริ่มคาดเดาออกว่าต้นสายปลายเหตุมาจากไหน

แม่หงส์ไพรในโลกใบเล็กของผม

 

2

“ทำไมหนูไม่มีสิทธิ์” เธอเริ่มแสดงอาการหงุดหงิดให้เห็น

“เราเลิกพูดเรื่องสิทธิ์กันก่อนได้ไหม” ผมยังใจเย็นตามที่หัวหน้างานของบริษัทอบรมสั่งสอนมา “คืออย่างที่อธิบายไปแล้วว่าผมขอดูบัตรประชาชนเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน พอคุณกลับออกมาแล้วจึงไปรับคืน เพราะแม้แต่บ้านเลขที่ที่บอกว่าเป็นบ้านของคุณเองคุณยังจำไม่ได้ แบบนี้จะให้เข้าไปได้ยังไงล่ะครับ”

ผมมองหน้าเธอแล้วเบือนไปหาวิทยุทรานซิสเตอร์ เอื้อมมือไปหรี่เสียงที่กำลังรายงานสถานการณ์นองเลือดในมัณฑะเลย์ โดยล่าสุดเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบถูกกระสุนลูกหลงจากฝ่ายทหารถึงขั้นเสียชีวิตอยู่ในตักพ่อ

“บอกแล้วว่าทำหายๆ”

“อย่างนั้นก็เข้าไปไม่ได้ อย่าว่างั้นงี้เลย ขอโทษนะ พูดกันตรงๆ ผมทำงานอยู่ที่นี่มาสองปีกว่าไม่เคยเห็นหน้าคุณสักครั้งเดียว” ผมกลั้นหัวอกพูดความจริงทั้งที่เกรงจะกระทบใจเธอ ถอนหายใจเฮือกแล้วว่า “ลองนึกดูดีๆ อีกสักครั้งสิ บ้านคุณเลขที่เท่าไหร่” พูดพร้อมกดสัญญาณให้เหล็กกั้นประตูเข้าหมู่บ้านเปิดแล้วจึงยกมือทำท่าวันทยหัตถ์แสดงความเคารพรถเก๋งคันสีดำกับสีขาวที่ขับตามกันมา

นัยน์ตาเธอเริ่มรื้น ก้มหน้า มือทั้งสองข้างกำแน่น ลมพัดพรูท่ามกลางแดดเริงแรงใกล้เที่ยง

“งั้นเอางี้…” พลันคิดแก้ปัญหาได้ ไม่มีบ้านไหนในโครงการนี้ที่ผมจำเลขที่ไม่ได้ หรือไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านไหนนามสกุลอะไร “คุณนามสกุลอะไร”

เธอเงยหน้ามองผม หยาดน้ำตาเปื้อนแก้ม “หนูไม่มีนามสกุล” คำท้ายหายไปในลำคอแต่พอจะเดาออก

เหมือนเสียงปืนจากเมืองใหญ่ในเมียนมาก้องกระหึ่มขึ้นในหูก่อนปลอกกระสุนเปล่าจะร่วงพรูสู่ทรวงอกผม ทั่วสรรพางค์กายเผลอสะท้าน

ถึงตรงนี้ผมแค่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ก็บอกแล้ว

ชีวิตผมถูกชะตากรรมกลั่นแกล้งตั้งแต่เริ่มจำความได้มาตราบจนถึงวัยสามสิบกว่าปี พอเจอเธอได้ไม่ถึงยี่สิบวันถึงตระหนักว่าฉากชีวิตในโลกใบนี้ของเธอจมปลักอยู่กับโลกด้านมืดมากกว่าผมหลายเท่า

 

3

ครบสองสัปดาห์ที่รู้จักกันมาก่อนพัฒนาไปสู่ความคุ้นเคยสนิทสนม ผมจึงค่อยๆ ปะติดปะต่อบ้านที่เธอพยายามบอกเล่าให้ฟัง

จันทร์นารีเล่าว่าเธอมีบ้านอยู่หลายหลัง พ่อแม่และเหล่าพี่ป้าน้าอาช่วยกันปลูกสร้าง ทว่า มีอยู่หลังเดียวที่เธอรักและผูกพัน อาจเป็นเพราะบ้านใหญ่หลังนั้นอยู่ไม่ห่างจากบึงขนาดใหญ่ ระหว่างบึงกับบ้านมีต้นฉำฉายักษ์คั่นกลาง ยามว่างหรือไม่ก็เป็นช่วงพักกลางวันแม่มักพาเธอมานั่งป้อนข้าวบนเปลผ้าโสร่งที่พ่อผูกไว้ใต้ต้นฉำฉาพร้อมกับเล่านิทานเรื่อง ‘ประลัยจุมพ่าย’ ให้ฟังจนจำฝังใจว่าหงส์ตัวหนึ่งจำใจต้องบินไกลจากเมืองเกิด ฝ่าภูเขา ข้ามแม่น้ำ เลาะลำธาร บากหน้ามายังอีกบ้านเมืองหนึ่ง ท้ายที่สุดแม้นชะตากรรมอนุญาตให้มีชีวิตรอด ทว่า กลับต้องแลกด้วยสถานภาพอีกแบบหนึ่ง

จากหงส์กลายเป็นนกกระจอกที่บินไปได้ไม่เกินขอบเขตที่ถูกกำหนด

จันทร์นารีจำได้ดีว่าฟังทีไรต้องร่ำไห้ตามไปด้วยแม้ห้วงยามนั้นยังไม่รู้ว่าหงส์กับนกกระจอกแตกต่างกันอย่างไร สิ่งที่ทำให้ร้องไห้คือสุ้มเสียงกับแววตาของแม่

ว่าไปแล้วผมก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งหวุดหวิดจะเสียน้ำตาเช่นเดียวกับจันทร์นารีเมื่อได้ฟังเรื่องราวร้าวรันทดของหงส์ในนิทานประลัยจุมพ่าย

สายรกของผม แม่เล่าให้ฟังว่าถูกฝังอยู่ใต้ร่มไทรใหญ่ในหมู่บ้าน ‘ปาลัยตุมพ่าย’ ที่จากมา

“ทุกวันหนูกิน เล่น บางวันเล่นกับเพื่อนจนเหนื่อยก็นอนหลับกลางวันอยู่ในบ้าน พ่อเป็นคนขยันมาก ตื่นแต่เช้าก่ออิฐ โบกปูน ส่วนแม่จะตักทราย แบกน้ำ จับนู่นแบกนี่เป็นลูกมือช่วยพ่อ เสื้อผ้าของพ่อแม่เปียกเหงื่อชุ่มโชกตั้งแต่ตอนสายไปจนเย็น”

“กลางคืนก็นอนบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ” ผมหลบตาขณะโยนคำถาม

“ไม่ ไปนอนที่เพิงพัก พ่อกับแม่บอกว่ารอให้เสร็จเสียก่อนจึงเข้าไปอยู่ในนั้น อันที่จริงนอนที่ไหนก็ได้ ขอเพียงให้มีผ้าผืนเดียว”

“ผ้าอะไร”

“ก็…ก็ผ้า ผ้าสีขาว เออ…ไม่ใช่ผ้า สี…น้ำตาล สี…เทา สีอะไรไม่รู้ จำได้ว่าขาดผ้าผืนนั้นไม่ได้ ไปไหนต้องเอาไปด้วย”

เด็กวัยอนุบาลที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรโครงการนี้ รวมทั้งบางคนเข้าประถมศึกษาปีที่ 4 มักจะมีตุ๊กตาประจำตัวติดมือเสมอ ผู้ปกครองบางคนเคยเล่าว่าถ้าไม่มีตุ๊กตา ลูกหลานจะนอนไม่หลับ ต่อให้เก่าเขลอะปานไหนไม่ยอมเปลี่ยน

“ตอนนั้นอายุเท่าไร”

“ก่อนเข้าเรียนหนังสือ จำได้ว่าบ้านเกือบสร้างเสร็จแล้ว แต่ทีนี้หนูเข้าเกณฑ์เรียนชั้น ป.1 จึงพาไปอยู่โน่น จนพ่อตายก็ยังไม่ได้กลับบ้าน”

 

4

พ่อของจันทร์นารีเสียชีวิตในปีที่น้ำท่วมครั้งใหญ่ จู่ๆ น้ำป่าไหลทะลักทลายในช่วงดึก ความที่พ่อเป็นช่าง พ่อจึงสร้างแพแข็งแรงทนทานถึงขั้นต้านมวลกระแสน้ำได้ แม่และจันทร์นารีปลอดภัย พ่อก็อาจจะด้วย เว้นแต่พ่อเป็นห่วงสะพาน ผูกพันกับไม้ทุกท่อนที่ปูวางเรียงรับเท้าของผู้คนซึ่งใช้อาศัยข้ามฝั่ง ดังนั้น พ่อจึงตะบึงไปยังสะพาน เมื่อเห็นสะพานขาดสะบั้นต่อหน้าต่อตาพ่อเลยกระโดดลงไปเพื่อจะคว้าเสาสะพานต้นหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่บางคนได้เห็นและเล่าให้ฟัง

ถ้าพ่อไม่ด่วนเสียชีวิต จันทร์นารีอาจมีนามสกุล ครั้นเหลือเพียงแม่ซึ่งมีเพียง ‘บัตร 10 ปี’ จะมีนามสกุลได้อย่างไร

แม่ผู้เล่านิทานประลัยจุมพ่ายไม่ยอมแพ้แก่ชะตาชีวิต ส่งลูกเข้าเรียนหนังสือตามสิทธิ์ที่ได้ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันนักขัตฤกษ์ จันทร์นารีจะไปยืนอยู่บริเวณท่าน้ำตรงจุดที่นักท่องเที่ยวลงเรือไปชมวัดจมน้ำ

“ซื้อปลาปล่อยหน่อยค่ะ แล้วแต่จะให้เงินหนูไปโรงเรียนนะคะ”

หลังโรงเรียนเลิกก่อนถึงวันหยุด จันทร์นารีจะรีบวิ่งกลับบ้าน จากนั้นสองแม่ลูกช่วยกันหิ้วสวิงและกระป๋องไล่ช้อนปลาเล็กปลาน้อยตามริมฝั่งมาขังไว้สำหรับส่งให้ตัวเองเรียนหนังสือ ถ้าบุญมีพอแม้ไม่อาจจบปริญญาตรี ภาวนาให้จบมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือแย่ที่สุดก็ขอให้จบมัธยมศึกษาตอนต้น

แต่บุญมีน้อย จันทร์นารีจึงจบแค่มัธยมศึกษาปีที่ 2

 

5

ศพแม่ยังไม่ทันเผา กลับมีคนมาอ้างเป็นเจ้าของแพ แม้กระทั่งไก่กับเป็ดไม่กี่ตัวที่เลี้ยงไว้ เขาเอ่ยว่าไม่ได้กล่าวอ้างลอยๆ แต่พูดตามตัวบทกฎหมายในใบสัญญาที่แม่ไปกู้ยืมมาตั้งแต่ปีก่อน เรื่องนี้แม่ไม่เคยบอก จันทร์นารีนึกถึงพี่ป้าน้าอาเพื่อขอคำปรึกษาจึงรู้ว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนบ้าน ยิ่งมีเรื่องกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคนกลับกลายเป็นเหมือนคนไม่รู้จัก

พอทำบุญครบเจ็ดวันให้แม่ มีคนยื่นมือเข้าช่วยด้วยการฝากฝังไปทำงานล้างจานในตัวอำเภอทองผาภูมิ ล้างจานอยู่หลังร้านวันเดียวถูกย้ายให้มาเป็นเด็กเสิร์ฟของห้องคาราโอเกะ คนอย่างจันทร์นารีผู้หวังจะเรียนจนจบปริญญาตรีไม่มีทางยินยอม พอล่วงรู้อยู่ว่าในที่สุดสถานะแท้จริงจะปรับเปลี่ยนเป็นเช่นใด เมื่อปฏิเสธออกไป ข้อยุติสุดท้ายคือนายจ้างจะแจ้งตำรวจจับโทษฐานหลบหนีเข้าเมือง

ชงเหล้าให้แขกต่างรุ่นต่างวัยได้สามคืนก็ถูกจับโยนเข้าไปในห้องที่มีชายวัยพ่อรออยู่ เธอหวีดร้องร่ำไห้อ้อนวอนขอความเมตตา อีกทั้งหวังว่าจะมีใครอื่นได้ยินแล้วยื่นมือเข้าช่วย

แต่คนอย่างเธอมีสิทธิ์วาดหวังด้วยหรือ

ทนอยู่ทองผาภูมิสองปี ไปอยู่ร้านนวดแผนโบราณที่ราชบุรีอีกสองปีครึ่งทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนจากสำนักไหน เว้นแต่ใช้ร่างกายประกอบอาชีพ จากนั้นด้นดั้นไปสิงคโปร์ และกลันตัน-มาเลเซีย

ดึกดื่นคืนหนึ่งในกลันตัน-มาเลเซีย จันทร์นารีสะดุ้งตื่นขึ้นจากอาการสลบปางตายในห้องที่พวกผู้ชายห้าหรือเจ็ดซึ่งจดจำจำนวนแท้จริงไม่ได้ไม่มีใครอยู่แล้ว พอเริ่มกะพริบตามองดูสภาพของตัวเองที่ไร้เสื้อผ้าห่อหุ้ม ตามเนื้อตัวเกลื่อนไปด้วยร่องรอยฟกช้ำ บางจุดมีรอยไหม้จากถูกบุหรี่จี้หรือไฟแช็กลน มุมปากยังเกรอะลิ่มเลือด กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คละคลุ้ง รวมทั้งกลิ่นสารอื่นๆ

เหมือนตกลงในขุมนรกซึ่งร่างร่วงหล่นลงกระทบพื้นอวจี พื้นอเวจีที่อีกด้านเป็นประตูสู่สวรรค์

นั่นเองที่สมองของจันทร์นารีระลึกถึงบ้านราวอัศจรรย์

 

6

ผมนอนมองเธออย่างเงียบๆ มานานเกือบชั่วโมงแล้ว เสียงกรนแผ่วเบาแว่วไหวทดแทนเสียงสะอื้นไห้ นึกถึงริ้วแผลเป็นจากข้อมือถึงข้อศอกที่เธอกรีดตัวเองไว้ในอดีตหลังทุกคราวที่ตื่นเช้าแล้วนั่งทบทวนหวนถึงเรื่องราวของค่ำคืนนรกโลกันต์

ผมไม่แปลกใจสักนิดว่าเธอย้อนนึกถึงแล้วเสาะแสวงหาทางกลับมาบ้านของเธอถูกตามที่คิดได้อย่างไร ชีวิตเธอผ่านประสบการณ์มากพอแล้ว มากกว่าผมที่แบกปืนปกป้องชาติพันธุ์ตัวเองตั้งแต่อายุสิบขวบ ก่อนจะผันมาเป็นคนขับเรือรับส่งนักท่องเที่ยว กระทั่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านจัดสรรชานเมืองที่โครงการด้านหน้าติดแม่น้ำ ด้านหลังติดภูเขาซึ่งราคาสูงสุดของจังหวัดนี้

ผมดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เพิ่งตีสามเศษ มันจะเป็นไรหากใครสักคนพบเห็น ผมจะบอกไปว่าเข้าเวรแทนและมาตรวจตราความสงบเรียบร้อยให้กับโครงการตามปกติ ผิดอยู่นิดตรงที่คืนนี้บังเอิญมีเมียซ้อนท้ายมาด้วย

ผมแตะมือสัมผัสแขนเธอ จันทร์นารีสะดุ้งเฮือก ชันร่างพรวดพราดเหลียวมองไปรอบห้องเช่าอับโทรม ยกมือขยี้ตาด้วยอาการงัวเงีย

“เร็ว เราไปดูบ้านของหนูกัน” ผมเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกเธอว่าคุณมาเป็นหนูได้สามวันแล้ว

“เฮ่ย จริงรึ หนูได้สิทธิ์แล้ว หนูได้สิทธิ์แล้ว เย้…”

ผมรีบยกนิ้วชี้แตะกลางริมฝีปากตัวเอง เธอทำตามด้วย เหลียวซ้ายเหลียวขวาทำหน้าตาเหมือนเด็กๆ

 

7

จันทร์เต็มดวงสว่างไสว แม้แต่โคมไฟประดับสองฟากทางยังงดงามไม่เท่า ผมทำหน้าที่ปั่น ส่วนจันทร์นารีซ้อนท้าย พยายามถามว่าหลังไหนให้ชี้มือบอก

“มันเหมือนกันไปหมด แต่ต้องหาบึงใหญ่กับต้นฉำฉาให้เจอ แม่ยังบอกตอนเรียน ป.1 ว่าสายรกของหนูฝังไว้ใต้ร่มฉำฉา”

สายลมค่อนรุ่งพัดเฉื่อยสัมผัสผิว จันทร์นารีโอบเอวผมหลวมๆ ผ่านบ้านหลังหนึ่งซึ่งยังเปิดโทรทัศน์ค้างไว้ เป็นไปได้ว่าใครสักคนอาจตื่นนอนแล้ว เสียงแว่วๆ ดังลอดได้ยินว่า

“เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่พยายามสกัดฝูงชนซึ่งจะเดินหน้าฝ่าแผงกั้นเพื่อไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนยืนยันว่าทุกขั้นตอนดำเนินไปตามหลักสากล”

“เอ้า นั่นไงๆ ใช่จริงๆ บ้านของหนู” จันทร์นารีรัวเสียงสดใสรั้งขอบกางเกงของผม “จอดๆ ใช่จริงๆ ด้วย นั่นไงต้นฉำฉา”

กระโดดแผล็วลงจากเบาะ ส่วนผมรีบยกนิ้วชี้แตะปากอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ทำตาม

“มีแต่ต้นฉำฉา แล้ว…แล้วบึงใหญ่หายไปไหน”

‘…เขาเอาดินมาถมปรับพื้นที่ปลูกบ้านอีกแปดหลังแทน…’ ผมตอบอยู่ในใจ

“หลังไหนน้อ ทำไมมันเหมือนกันทั้งนั้น แต่ถ้าได้เข้าไปหนูต้องจำได้แน่นอน”

“ไม่ได้หรอก พ่อของหนูขายให้คนรวยไปแล้ว เหมือนที่แม่ขายแพให้คนอื่นนั่นแหละ ตอนนี้หนูไม่มีสิทธิ์แล้ว กลับห้องเรากันเถอะ”

กว่าจะยินยอมซ้อนท้ายจักรยานกลับห้อง ผมต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่หลายนาที ระหว่างทาง จันทร์นารีซบหน้ากับแผ่นหลังของผมก่อนรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นซึมผ่านเสื้อแล้วทุบใส่นับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่ตอบโต้ เพียงแค่ปลอบประโลม กระนั้นเธอยิ่งทุบแรงขึ้น คราวนี้ผมปิดปากเงียบปล่อยให้เธอทำตามอารมณ์

เพราะนี่เป็นสิทธิ์ของเธอ •