‘พระตรีมูรติ’ ในอินเดีย ไม่ใช่รูปรวมเทพเจ้าทั้งสาม เหมือนที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ที่แยกราชประสงค์นอกจากจะมีพระพรหม และแหล่งช้อปปิ้งแล้ว ก็ยังมีรูปพระตรีมูรติ ตั้งอยู่ที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์อีกด้วย

น่าแปลกนะครับว่ารูปพระตรีมูรติรูปนี้ ศิลปินผู้สร้างเขาไปเอาจินตนาการต้นแบบมาจากที่ไหน

เพราะในอินเดียเขาก็ไม่ได้มีพระตรีมูรติหน้าตาอย่างนี้เสียหน่อย?

เพราะพระตรีมูรติ ไม่ได้หมายถึงรูปรวมของพระองค์เป็นเจ้าอันยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งสามพระองค์ของพวกพราหมณ์นี่ครับ แต่หมายถึงการปรากฏกายร่วมกันของพระเป็นเจ้าทั้งสามองค์ที่ว่าต่างหาก

พระเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งสามพระองค์ของพวกพราหมณ์ที่ผมพูดถึง ประกอบไปด้วย

“พระพรหม” ในฐานะผู้สร้างโลก หรือจักรวาล (สำหรับพวกพราหมณ์ในยุคก่อนสมัยใหม่แล้ว “โลก” และ “จักรวาล” เป็นคำคำเดียวกัน)

“พระนารายณ์” ในฐานะผู้ปกปักรักษาโลก

และ “พระอิศวร” ในฐานะผู้ทำลายล้าง เมื่อโลกสิ้นอายุขัย เพราะเต็มไปด้วยความไม่ดีไม่งาม

จะเห็นได้ว่า การปรากฏกายร่วมกันของเทพเจ้าทั้งสามองค์นี้ เป็นเครื่องมือในการกำกับให้เกิดจินตกรรมเรื่องของ เวลาที่เป็นวัฏจักร คือการเกิดขึ้นของโลก การคงอยู่แล้วแตกดับ ก่อนที่จะมีการสร้างขึ้นมาใหม่

อันเป็นโมเดลเดียวกันทุกกระเบียดนิ้วกับแนวคิดเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นปรัชญาสำคัญของชมพูทวีปนั่นเอง

 

พร้อมๆ กันนั้น แนวคิดเรื่อง พระตรีมูรติ ยังกำกับว่า “โลก” เป็นสิ่งที่เทพเจ้าสร้างขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่คงอยู่เอง หรือเกิดขึ้นมาได้โดยไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดบันดาลขึ้น

ทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกจึงเป็นของเทพเจ้า

เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการบันดาลของเทพเจ้าเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเป็นตัวตนได้ด้วยตัวของตนเองเสียหน่อย

แต่เอาเข้าจริงแล้ว การมาจอยกันของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามที่เรียกว่า พระตรีมูรติ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งนักในปุราณะของพวกพราหมณ์

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า จักรวาลวิทยาในแบบของพราหมณ์ ทั้งในแง่ปรัมปราคติเกี่ยวกับโลกสัณฐาน การเกิดและการดับของโลก รวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับสังสารวัฏแข็งแรงมั่นคงดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในชมพูทวีป

จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ มหาปุราณะทั้ง 18 ฉบับ และปุราณะฉบับนู่นนี่อีกนับพัน (ปุราณะ คือ คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์รองลงมาจากพระเวท มีคัมภีร์เล่มหลักทั้งหมด 18 เล่ม เรียกว่ามหาปุราณะ ใช้ร่วมกันในสารพัดนิกาย และมีเล่มปลีกย่อยอื่นๆ อีกมากมาย ที่เขียนขึ้นนิกายต่างๆ และสถานที่ที่แตกต่างกัน)

แทบจะไม่ได้พูดถึงพระตรีมูรติ เลยด้วยซ้ำ

 

ที่ผมบอกมาอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าผมได้ไปอ่านปุราณะมาครบถ้วนทุกฉบับแล้วหรอกนะครับ ผมอ้างมาจากนักสันสกฤตศึกษาระดับพระบิดาคนหนึ่งของวงการอย่าง มอริซ วินเตอร์นิตซ์ (Moriz Winternitz, ค.ศ.1863-1937) เป็นคนว่าเอาไว้ ผมก็แค่หยิบยืมงานค้นคว้าของท่านมาเป็นโซฟานุ่มๆ สำหรับใช้อ้างอิงและพิงหลัง

นักประวัติศาสตร์ชาวเมืองผู้ดีอย่าง บาชาม (A. L. Basham, ค.ศ.1914-1986) เคยอธิบายถึงการที่อยู่ๆ พระตรีมูรติได้รับความนิยมขึ้นมาซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ในปุราณะจริงๆ กล่าวถึงอยู่ไม่มากว่า

“ผู้ศึกษาเรื่องศาสนาฮินดู ชาวตะวันตกในระยะเริ่มแรก ประทับตราให้พระตรีมูรติเป็นภาพคู่ขนานใกล้เคียงกับภาพพระตรีเอกานุภาพของชาวคริสเตียน ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นคู่ขนานที่ไม่ได้ใกล้เคียงกันมากนัก เพราะพระตรีมูรติไม่เคยเป็นที่นิยมจริงๆ เหมือนกับพระตรีเอกานุภาพเลย คติเรื่องพระตรีมูรติทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะโปรเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเสมอในทั้งสามองค์นั้นเสมอ ตัวอย่างในโศลกอันงดงามของ กาลิทาส สามารถเห็นได้ชัดเจนทีเดียวว่า การอ้างถึงพระตรีมูรติเป็นการเน้นย้ำไปที่พระพรหม ในฐานะเทพเจ้าสูงสุด”

 

จากข้อคิดเห็นของบาชาม จะเห็นได้ว่า มายาคติเรื่องความสำคัญของพระตรีมูรติ ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของนักวิชาการฝรั่ง ที่กำลังรู้สึกมหัศจรรย์กับภูมิความรู้ของอินเดีย และ “สร้าง” ความเป็นอินเดีย จากมุมมองและทัศนคติของชาวตะวันตก ไม่ใช่กลั่นเอาความเป็นอินเดียขึ้นมาจากตัวของอินเดียเองจริงๆ

ลักษณะอย่างนี้มีอยู่มากมายในคำอธิบายเกี่ยวกับความเป็นอินเดีย (ซึ่งหมายรวมถึงทุกอย่างในอินเดีย ทั้งศาสนา ปรัชญา สังคม ประวัติศาสตร์ ผู้คน ฯลฯ) ที่ผลิตขึ้นด้วยชุดความรู้สมัยอาณานิคม โดยเฉพาะช่วงที่อินเดียถูกปกครองโดยอังกฤษ ไม่ว่าจะผลิตขึ้นจากนักวิชาการตะวันตก หรือนักวิชาการชาวอินเดียเองก็ตามที

คำอธิบายของบาชาม สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องพระตรีมูรติ ตามหลักฐานในปุราณะฉบับรองๆ ลงไป และตำราในศาสนาพราหมณ์ฉบับอื่นๆ โดยเฉพาะบรรดาฉบับที่ถูกเขียนขึ้นเป็นอรรถาธิบายความในคัมภีร์เล่มหลักต่างๆ ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นอย่างยิ่ง

เพราะทั้งฝ่ายไศวนิกาย ที่นับถือพระอิศวรเป็นใหญ่ และฝ่ายไวษณพนิกาย ที่ถือว่าพระนารายณ์เป็นสำคัญ ต่างก็ยกหางเทพเจ้าองค์สำคัญของฝ่ายตนเองให้เป็นเทพเจ้าสูงสุด (Supreme God) กันด้วยกันทั้งนั้น

 

ตัวอย่างเช่น ฝ่ายไวษณพนิกาย ถือว่าเทพเจ้าสูงสุดคือพระกฤษณะ เพราะยึดตามภควัตคีตา ที่เล่าเรื่องมหาภารตะช่วงก่อนเข้าสู่มหาสงครามที่ทุ่งกุรุเกษตร ในครั้งนั้นพระกฤษณะเป็นสารถีให้รถศึกของอรชุน

อรชุนไม่ต้องการเข้าสู่สงครามเนื่องด้วยฝ่ายตรงข้ามล้วนแต่เป็นญาติพี่น้อง และครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น

พระกฤษณะเกลี้ยกล่อมถึงหน้าที่ของวรรณะกษัตริย์ จนอรชุนเริ่มใจอ่อน จนท้ายที่สุดอรชุนขอให้พระกฤษณะแสดงพระภาคของตนเองในฐานะเทพเจ้าสูงสุดที่เรียกว่า “วิศวรูป” เพื่อจะได้เชื่อมั่นว่าตนเองกระทำไม่ผิด และพระกฤษณะก็เผยพระวิศวรูปให้อรชุนเห็น พวกไวษณพนิกายจึงถือว่า พระกฤษณะ (ซึ่งเป็นอวตารตอนหนึ่งของพระนารายณ์) เป็นพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด

ดังนั้น จึงอาจจะสรุปถึงความสำคัญของพระตรีมูรติ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูอย่างง่ายๆ และได้ใจความตามที่บาชามกล่าวไว้ว่า “อันที่จริงแล้ว เรื่องพระตรีมูรติ ถูกทำให้สำคัญขึ้นมาอย่างหลอกๆ (ภายหลัง) และไม่เคยมีอิทธิพลที่แท้จริง (ในศาสนาฮินดู) เลย”

 

ความเข้าใจผิดที่สำคัญเกี่ยวกับพระตรีมูรติ อีกประการหนึ่งก็คือ มักจะเข้าใจกันว่า พระตรีมูรติเป็นร่างรวมของมหาเทพทั้งสาม อย่างที่ผมเกริ่นไว้แล้วข้างต้น

ไม่แปลกหรอกครับที่เราๆ ท่านๆ จะเข้าใจผิดกัน ขนาดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในกำกับของกรมศิลปากรยังเคยเข้าใจผิดด้วยการระบุว่า รูปประติมากรรม พระสทาศิวะ (พระศิวะ หรือพระอิศวรในรูปสูงสุด มี 5 เศียร ตามคติพราหมณ์) สมัยอยุธยาองค์หนึ่งซึ่งจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์นั่นแหละ เป็นพระตรีมูรติเลย (ปัจจุบันทางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้ปรับเปลี่ยนป้ายคำอธิบายประติมากรรมรูปนี้เสียใหม่ว่าเป็น พระสทาศิวะ เรียบร้อยแล้ว)

แถมข้อความในปุราณะที่กล่าวถึงพระตรีมูรตินั้นก็ชวนงงมาแต่ต้นแล้วแหละครับ ในกูรมปุราณะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมหาปุราณะทั้ง 18 ฉบับ มีข้อความทำนองว่า

“จงพร่ำสวดสรรเสริญถึงความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นใหญ่ทั้งสามพระองค์” และ “จงเซ่นสรวงพรหมัน (คือเป้าหมายสูงสุดในอุดมคติของพวกพราหมณ์ คล้ายกับนิพพานของพุทธ บางทีก็เรียก ปรมาตมัน) เช่นเดียวกับพระตรีมูรติ”

 

ผมจึงอดแปลกใจไม่ได้ว่า ศิลปินผู้สร้างเขาไปเอาแบบพระตรีมูรติมาจากไหน? อย่างที่ตั้งคำถามไว้ตั้งแต่ต้น

และก็ยิ่งสงสัยใจว่า แล้วพระตรีมูรติองค์นี้ไปเกี่ยวข้องกับความรักจนคนแห่กันมาบูชาขอให้ตนเองสมหวัง ครองคู่กันยาวนานไปได้อย่างไร?

คงจะเป็นพระตรีมูรติ คนละองค์กับในอินเดียเสียแล้วกระมังครับ?