บทบาท ‘อาฮุย’ ต่อหน้า ‘โจรดอกเหมย’ บทบาท ‘ตัวแปร’ | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

บทบาท ‘อาฮุย’

ต่อหน้า ‘โจรดอกเหมย’

บทบาท ‘ตัวแปร’

ต่อภาพ ณ เบื้องหน้า 1 เป็นภาพของจอมยุทธ์ผู้ได้รับการเชื้อเชิญให้มาเป็นแขกของตึกเมฆเรืองโรจน์เพื่อจัดการกับ “โจรดอกเหมย”

1 เป็นภาพของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นโจรดอกเหมย และผู้ให้ความช่วยเหลือ

แม้คนหนึ่งจะเป็นเซี่ยวลี้ปวยตอ มีชื่อเลื่องกระเดื่องยุทธจักร แต่ก็ตกอยู่ในสภาพถูกจี้สกัดจุด ไม่สามารถใช้วิทยายุทธ์ออกมาได้

ขณะที่อีกคนหนึ่งก็ต้องแบกคนแรกขึ้นบนบ่า สภาพจึงทุลักทุเลยิ่ง

เป็นความทุลักทุเลในบรรยากาศแห่งการปลุกระดม “สำหรับกับโจรดอกเหมย มิต้องยึดถือคุณธรรมบู๊ลิ้มอันใด ท่านทั้งหลายไฉนยังไม่ลงมืออีก”

เป็นอาการลังเลและรอคอยการแผลงฤทธิ์จากกระบองอ่อน

จึงจำเป็นต้องสำทับ “หากฆ่าโจรดอกเหมย นับเป็นเกียรติอย่างสูง ท่านทั้งหลายคิดปล่อยปละละเลยโอกาสเช่นนี้หรือ”

การลงมือของฉั้งฉิกแม้จะแผ่พลานุภาพ แม้จะได้รับการหนุนช่วยจากเตี่ยเจี่ยหงีนั่นย่อมนำไปสู่การแตกและแยกออกในทาง “ความคิด” อันก่อให้เกิดการแปรเปลี่ยนของสถานการณ์

สภาพการณ์เช่นนี้ “โกวเล้ง” วิเคราะห์ออกมาอย่างไร

 

หน้าเหล็กไม่ลำเอียงเตี่ยเจี่ยหงีมีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธจักรเพราะพึ่งพาวิชาฝีมืออันแท้จริง ทวนยาวเล่มนี้พอใช้ออกกลับมีอานุภาพสยบขวัญผู้คน

ทวนเป็นต้นตระกูลแห่งร้อยศัสตราวุธ กระบองเป็นเจ้าแห่งศัสตราวุธทั้งหลาย

อย่าว่าแต่ยาว 1 นิ้ว เข้มแข็ง 1 ส่วน อาฮุยใช้กระบี่ที่สั้นกว่าเล่มเดียว พันตูกับอาวุธสุดกล้าแข็งสุดรุนแรง 2 ชนิด

ก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่แล้ว

อย่าว่าแต่ยังแบกคนผู้หนึ่งอยู่บนหลัง ยิ่งอย่าว่าแต่อาฮุยไม่ทราบว่าฝ่ายตรงข้ามจี้ใส่จุดเส้นใดของตัวเอง

ฉั้งฉิกใช้จุดเด่นของมันจู่โจมจุดอ่อนของผู้อื่น

ความจริง ชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดพอใช้ถึงท่าสุดท้ายมักคลาดเคลื่อนไม่สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลง

หลายสิบกระบวนท่าพอผ่านพ้นพลันพบ

บุรุษหนุ่มนี้แม้ยังไม่ตีโต้แต่ความพิสดารของท่าเท้าเป็นสิ่งที่มันไม่เคยประสบมา ทุกกระบวนท่าของตัวเองมุ่งใส่ตำแหน่ง ควบคุมใช้พลังเป็นมั่นเหมาะสามารถจี้ใส่จุดเส้นของฝ่ายตรงข้ามชัดๆ

แต่ฝีเท้าของบุรุษหนุ่มนี้ไม่ทราบลื่นไหลอย่างไร กระบวนท่าของตัวเองก็จู่โจมอากาศธาตุ

 

ฉั้งฉิกแม้มีภูมิรอบรู้กว้างขวาง กระนั้นก็ยังสังเกตที่มาของท่าเท้าชนิดนี้ไม่ออก นี่คือปัญหา นี่คือคำถามอันนำไปสู่การครุ่นคิด และยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งบังเกิดความลังเล

“บุรุษหนุ่มผู้นี้คงมีความเป็นมาใหญ่หลวงไม่น้อย เราไยต้องเพาะสร้างศัตรูให้มากความ”

จึงยิ้มพร้อมกับคำกล่าว

“น้องเรา ท่านยังคงวางมันลงเถอะ ไม่เช่นนั้น มันไม่เพียงสร้างความลำบากแก่ท่านหากแต่การเคลื่อนไหวของท่านกลับกระทบกระเทือนถึงมัน”

ห้วงเวลาเดียวกันนี้ลิ่มเซียนยี้รีบกล่าว

“มิผิด ท่านยังคงรีบวางเขาลง ข้าพเจ้าสามารถรับรองว่า ฉั้งฉิกเอี้ยไม่เพียงไม่มีเจตนาทำร้ายท่านทั้งยังไม่ฆ่าเขา”

สุ้มเสียงของนางทั้งนุ่มนวลทั้งจริงใจ เต็มเปี่ยมด้วยความร้อนรุ่มและห่วงใย

 

ท่าทีเหล่านี้น่าศึกษา ไม่ว่าจะมองผ่านลีลาของฉั้งฉิก ไม่ว่าจะมองผ่านการสอดมือเข้ามาของลิ่มเซียนยี้

อาฮุยมองออก อาฮุยมิได้ละวางความระมัดระวัง

มันตั้งคำถามอันแหลมคมขึ้น “พวกท่านเมื่อต้องการให้ข้าพเจ้าวางมันลง แล้วไฉนพวกท่านจึงไม่หยุดมือ”

ฉั้งฉิกจี้กระบองออก คนถอยไป 7 เชียะ

เตี่ยเจี่ยหงีกลับแทงทวนออก เป็นการแทงออกอย่างไม่ยั้งสภาวะ พลันหักเหปลายทวนทิ่มแทงใส่พื้น

ได้ยินเสียงเช้ง ประกายไฟแลบกระจาย ปลายทวนหักสะบั้น

อาฮุยประคองลี้ชิ้มฮัวนั่งลงบนเก้าอี้ เมื่อเห็นทรวงอกของลี้ชิ้มฮัวสะท้อนขึ้นลง ใบหน้าซีดขาวเป็นสีแดงซ่านโศกซึ้ง แสดงว่าพยายามข่มกลั้นไว้ไม่ส่งเสียงไอออกมาด้วยเกรงพอส่งเสียงจะกระทบถึงการลงมือของอาฮุย

อาฮุยรู้สึกมีเลือดลมพลุ่งพล่าน

 

ภายในสภาพที่เลือดลมพลุ่งพล่านไปทั้งร่าง อาฮุยเกิดความรู้สึกเดือดดาลถึงกับยอมรับออกมา

“ข้าพเจ้าผิดแล้ว ข้าพเจ้ารู้แต่อวดกล้าอย่างบ้าคลั่ง กลับลืมท่านไป”

“มิว่าท่านถูกหรือท่านผิดข้าพเจ้ายังคงตื้นตันใจเช่นเดิม” เป็นการยืนยันจากลี้คิมฮวง

พอเอ่ยปากกล่าวก็ต้องส่งเสียงไอไม่หยุดยั้ง อากัปกิริยานี้สะเทือนต่อความรู้สึกผูกพันของอาฮุยอย่างลึกซึ้ง

แปรเป็นความแค้น

เป็นความแค้นที่เห็นบรรดา “จอมยุทธ์” ทั้งหลายกระทำต่อลี้คิมฮวง สายตามันจ้องลี้คิมฮวงแน่วนิ่งเป็นครู่ใหญ่

จากนั้นหันกายเข้าเผชิญหน้ากับเตี่ยเจี้ยอั้ว

ยืนยันอย่างเฉียบขาดออกมาว่า “ข้าพเจ้าเพียงสำนึกเสียใจอยู่เรื่องเดียว ครั้งก่อน ข้าพเจ้าไฉนไม่ฆ่าท่าน”

ขณะปากว่ากล่าว กระบี่ได้แทงออกไป

ความรวดเร็วของกระบี่นี้นับว่าไม่มีทางขบคิดคำนวณได้เลย เตี่ยเจี้ยอั้วไหนเลยจะหลบหลีกทันท่วงที

เห็นชัดว่าต้องถูกแทงคอหอยทะลุ หลั่งเลือดเป็นซากศพในที่นี้แน่แล้ว

 

ต้องยอมรับว่าฉากตอนนี้รวดเร็ว ฉับไวและเหนือความคาดหมาย ดังเห็นได้จากที่ “โกวเล้ง” บรรยายตามสำนวนแปลของ ว. ณ เมืองลุง

มิคาด ขณะเวลานั้นเอง

พลันมีเสียงร้องสรรเสริญพุทธคุณ “โอม มณีตัสสะ” ดังขึ้นที่ปากประตูห้องโถง ตอนคำ “โอม” เริ่มขึ้น

มีพลังอันรุนแรงได้พาเงาสีดำสายหนึ่งพุ่งมา

เมื่อกล่าวถึงคำที่สอง พลังอันหนักหน่วงจากเงาสีดำได้ซัดใส่ที่กลางหลังอาฮุย ทั้งๆ ที่กระบี่ของมันแทงจนสุดล้าอยู่ชัดๆ แต่ในพริบตาซึ่งฉุกละหุกและคับขันพลันพลิกกระบี่หันกายมาได้

จากเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จากประกายกระบี่ฟาดใส่เงาดำ ถึงกับเป็นลูกประคำพวงหนึ่ง

 

จวบจนคำ “โอม มณีตัสสะ” จบไป ลูกประคำทั้งพวงถูกปลายกระบี่ปัดปลิวกระเด็น ขณะที่ปลายกระบี่ยังคงส่งเสียงสั่นกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา

ลูกประคำพวงเล็กๆ ถึงกับมีพลังมากกว่า 1 พันชั่ง

กระบี่ยังคงสั่นไหว แต่ร่างของอาฮุยกลับแน่วนิ่งดุจดั่งศิลาแลง

ภายในแสงเลือนรางยามฟ้าสาง แลเห็นหลวงจีนจีวรเทา สวมรองเท้าหญ้า ถุงเท้าขาว 5 รูป เดินช้าๆ เข้ามาในห้องโถงใหญ่

รูปที่นำหน้ามีคิ้วขาวโพลนราวไหมเงินเป็นประกายอยู่ในแสงอุทัย

แต่ใบหน้ากลับแดงระเรื่อจนเปล่งปลั่ง ตาทั้งคู่ยิ่งเป็นประกายแวววาว มีอำนาจอย่างน่าระย่อ ท่านประนมมือทั้งสอง

ลูกประคำพวงนั้นมิทราบกลับไปที่มือท่านตั้งแต่เมื่อใด

“มิทราบไต้ซือให้เกียรติมา มิได้ออกไปต้อนรับ โปรดอโหสิด้วย” เป็นเสียงของเตี่ยเจี้ยอั้วซึ่งเพิ่งเรียกขวัญคืน

หลวงจีนคิ้วขาวเพียงยิ้มเล็กน้อย

 

ทั้งหมดย่อมเป็นการมาขององครักษ์พิทักษ์กฎของเสียวลิ้มยี่ เป็นการปรากฏขึ้นตามคำบอกเล่าอันรวบรัด

นั่นก็คือ ซิมไบ้ไต้ซือ

“ซือเฮียเจ้าสำนักเรา ได้รับข่าวจากพิราบสื่อสาร ทราบว่าฉินต๋ง ศิษย์ฆราวาสของสำนักบาดเจ็บสาหัส จึงมีคำสั่งให้อาตมารีบเร่งเดินทาง”

เรื่องอันเริ่มต้นจาก “โจรดอกเหมย” จึงบานปลาย

ไม่เพียงลากเอา “จอมยุทธ์” ผู้มีชื่อเสียงมากหลายเข้ามา หากในที่สุดก็ลากเอาเสียวลิ้มยี่เข้ามาเกี่ยวข้อง

โดยมี “ลี้คิมฮวง” เป็น “เป้า”

ไม่ทราบว่านี่เพราะการวางแผนอันแยบยลของผู้ใดในระหว่าง 1 เล้งโซ่วฮุ้น และ 1 ลิ่มเซียนยี้

โดยมี “อาฮุย” เข้ามาเป็น “ตัวแปร”