‘ปูติน’ สั่งระดมพลสำรอง สัญญาณศึกยูเครนขยายตัว?/บทความต่างประเทศ

บทความต่างประเทศ

 

‘ปูติน’ สั่งระดมพลสำรอง

สัญญาณศึกยูเครนขยายตัว?

 

ในช่วงหลายสัปดาห์หลังมานี้ กองกำลังรัสเซียในแนวรบของสงครามอายุ 7 เดือนที่ยูเครน ตกเป็นเบี้ยล่างอย่างเห็นได้ชัด ถูกการรุกกลับแบบเซอร์ไพรส์ของกองทัพยูเครน บีบจนต้องถอยร่น สูญเสียพื้นที่ยึดครองเมืองแล้วเมืองเล่า

ภายใต้สภาพการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นตามลำดับ วลาดิมีร์ ปูติน ตัดสินใจเคลื่อนไหวในเชิงยุทธศาสตร์หลายอย่างต่อเนื่องกัน เริ่มต้นด้วยการประกาศให้มีการ “ลงประชามติ” ในจังหวัดที่เป็นพื้นที่ชายแดนด้านตะวันออกของยูเครนที่ติดต่อกับรัสเซียทั้งหมด ในระหว่างวันที่ 23-27 กันยายนนี้

เป้าหมายเพื่อนำไปสู่การประกาศ “ผนวกดินแดน” เหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ซึ่งจะยังผลให้รัสเซียมีเส้นทางทางบกสำหรับเชื่อมต่อกับไครเมีย ที่รัสเซียประกาศผนวกดินแดนไปเมื่อปี 2014

จังหวัดเหล่านั้นประกอบด้วย ลูฮานสค์, โดเนตสค์, ซาปอริเซีย และจังหวัดเคอร์สันทางตอนใต้ติดกับไครเมีย ซึ่งถูกกองทัพยูเครนบุกประชิด โจมตีขนานใหญ่อยู่ในเวลานี้

ตามติดมาด้วยการประกาศในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชนทั้งประเทศของปูตินว่า สถานการณ์ในเวลานี้ ทำให้มีความจำเป็นต้องระดมกำลังพลสำรองจากพลเรือนรัสเซีย

หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี กองทัพรัสเซียจะมีกำลังพลสำรองจากพลเรือนเพิ่มขึ้นอีก 300,000 นาย สำหรับส่งไปปฏิบัติการรบในยูเครนโดยเฉพาะ

“ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าพเจ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความจำเป็น ทำให้ต้องตัดสินใจดำเนินการดังต่อไปนี้ ซึ่งเหมาะสมเต็มที่กับภัยคุกคามที่เรากำลังเผชิญอยู่

“เพื่อปกป้องมาตุภูมิของเรา อำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของเรา และเพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนของเราและประชาชนในพื้นที่ปลดปล่อยจะปลอดภัย ข้าพเจ้าเห็นว่ามีเป็นความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนข้อเสนอของกระทรวงกลาโหมและคณะเสนาธิการทหาร ให้ระดมกำลังพลสำรองภายในรัสเซียเพื่อเข้ารับภารกิจทางทหาร”

 

การประกาศระดมกำลังพลสำรองครั้งนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ส่อนัยสำคัญว่า ศึกยูเครนกำลังลุกลามขยายตัวเป็นศึกใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว

พาเวล เฟลเกนฮาวเออร์ นักวิเคราะห์กิจการกลาโหมอิสระ เชื่อว่า เป้าหมายหลักในการระดมพลสำรองบางส่วนของรัสเซีย ไม่ได้เป็นเป้าหมายระยะสั้น และจะยังไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการสู้รบในเร็ววันนี้

เขาอธิบายว่า การศึกช่วงหน้าร้อนพอจะบอกได้ว่าสิ้นสุดลงไปแล้ว ฝนหน้าใบไม้ร่วงกำลังจะมาถึง และจะทำให้ภูมิประเทศกลายเป็นทะเลโคลน ซึ่งหมายความว่า การเคลื่อนไหวทางทหาร และยุทโธปกรณ์หนักต่างๆ ทำได้ลำบากยากเย็นขึ้น ดังนั้น เขาเชื่อว่า การต่อสู้ในยูเครนจะชะงัก สร่างซาไปช่วงใหญ่ช่วงหนึ่ง

“ซึ่งจะช่วยให้เวลากับรัสเซียในการระดมพลสำรอง เตรียมให้พร้อมสำหรับหน้าหนาว เมื่ออากาศเย็นลงจนเยือกแข็ง เปลี่ยนดินโคลนจนกลายเป็นเหมือนแผ่นคอนกรีต ทหาร ยุทโธปกรณ์และรถถังสามารถเคลื่อนผ่านท้องไร่ท้องนาได้โดยสะดวก ตอนนั้นแหละศึกใหญ่ที่แท้จริงจะเกิดขึ้น”

เฟลเกนฮาวเออร์เชื่อว่า ด้วยการระดมกำลังพลสำรองครั้งนี้ รัสเซียคาดหวังว่าจะเปิดศึกชี้ขาด หรือไม่ก็การรบที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นตามที่ทางการรัสเซียต้องการได้

 

แซมมวล รามานี นักวิเคราะห์สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ จากสถาบันรอยัล ยูไนเต็ด เซอร์วิส กลับเชื่อว่า รัสเซียกำลังส่งสัญญาณทางลบออกมาให้เห็น เขาเชื่อว่า ความหวังที่ฝ่ายกองทัพรัสเซียคาดหวังไว้ก็คือ ถึงแม้การระดมกำลังพลสำรองบางส่วนในครั้งนี้ จะไม่สามารถพลิกสถานการณ์สงครามในยูเครนกลับมาเข้าข้างรัสเซียได้ ก็สามารถช่วยไม่ให้เกิดสภาพแตกพ่ายเหมือนกับที่ได้เห็นกันในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นอีก

รามานีเชื่อว่า กองทัพรัสเซียเห็นว่าการระดมกำลังพลสำรองเป็นการทั่วไป ยังไม่จำเป็น และอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงขึ้นเพราะการเกณฑ์พลสำรองเป็นการทั่วไปถือเป็นเรื่องอ่อนไหวและอื้อฉาวทางการเมือง

เขาเชื่อว่า การระดมพลครั้งนี้ น่าจะเป็นการระดมพลกองกำลังสำรองที่เคยเข้าประจำการมาก่อนแล้ว ไม่ใช่การระดมกำลังนักศึกษาหรือทหารเกณฑ์ที่อายุต่ำกว่า 27 เข้าประจำการ แต่จะระดมทหารเกณฑ์ที่อายุสูงกว่านั้นขึ้นมา

“เพราะความนิยมชมชอบต่อสงครามครั้งนี้ในหมู่ผู้ที่อายุระหว่าง 18-30 ปีอยู่ในระดับต่ำมาก ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 40 หรือ 50 ปี”

 

อเล็กซีย์ นาวัลนี นักการเมืองฝ่ายค้านที่เป็นศัตรูทางการเมืองตัวฉกาจของปูติน แสดงความคิดเห็นผ่านห้องขังที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในเวลานี้ออกมาว่า การประกาศระดมพลสำรองในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า สงครามที่ถือเป็นอาชญากรรมครั้งนี้กำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ และปูตินพยายามลากเอาผู้คนเข้าไปจมปลักสงครามด้วยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะ “ต้องการให้เลือดของประชาชนไหลนองออกมาให้ได้มากที่สุด”

ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น นาวัลนีคาดเดาจุดลงเอยของความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของปูตินเอาไว้อย่างชัดแจ้ง เขาเตือนผู้นำรัสเซียไว้ว่า การระดมกำลังพลสำรองครั้งนี้ “จะนำไปสู่โศกนาฏกรรมขนานใหญ่ จะลงเอยด้วยการสูญเสียชีวิตมหาศาล” จากการส่ง “พลเรือน” จำนวนมากไปสู่แนวหน้าเพื่อทำสงครามที่ไร้เหตุผล

สงครามที่ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดมารองรับ นอกจากจะเป็นไปเพื่อ “รักษาอำนาจส่วนตัวให้คงอยู่ต่อไป” เท่านั้นเอง