สุเทพ พ้นวิบากกรรม คดีทุจริตโรงพัก ชัยชนะปีกอนุรักษนิยม จับตาอนาคต ‘รวมพลัง’/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

สุเทพ พ้นวิบากกรรม คดีทุจริตโรงพัก

ชัยชนะปีกอนุรักษนิยม

จับตาอนาคต ‘รวมพลัง’

 

กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตสร้าง 396 โรงพัก รวมมูลค่าความเสียหาย 5,848 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อปี 2552 สมัย พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

คดีนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน 2552-18 เมษายน 2556 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคา ได้เสนอราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคาไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติดังกล่าว และได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา

ต่อมา จำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3, 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10, 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด

นับเป็นมหากาพย์ทุจริตสร้างโรงพักใช้เวลาถึง 10 ปี ผลปรากฎว่า ศาลพิพากษายกฟ้องหมดทุกคน

 

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาแล้ว เห็นว่า การกระทำของนายสุเทพ ในฐานะรองนายกฯ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลโดยทั่วไป ซึ่งการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบราชการ และระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ภาครัฐ จําเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

การกำหนดรูปแบบการจัดจ้าง แนวทางการจัดจ้าง และวิธีการจัดจ้าง มิใช่เรื่องที่ต้องเสนอให้ คณะรัฐมนตรีพิจารณา แม้จำเลยที่ 2 ขออนุมัติต่อจำเลยที่ 1 โดยไม่เสนอให้นายกรัฐมนตรีนำเสนอเรื่อง แก่คณะรัฐมนตรีพิจารณาก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 เคยอนุมัติวิธีการจัดจ้างตามที่พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้นเสนอมาก่อนแล้ว การเสนอดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามสายงานการบังคับบัญชาเท่านั้น ซึ่งไม่ว่าจำเลยที่ 1 จะอนุมัติตามที่จำเลยที่ 2 เสนอหรือไม่ ก็ไม่มีผลต่อความเห็นชอบของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ การกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบราชการ และระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

เป็นอันว่า นายสุเทพรอดตัวคดีนี้ ผู้สื่อข่าวรายงาน ในช่วงที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษามีเนื้อหาว่าจำเลยที่ 1 นายสุเทพ ไม่ผิด กองเชียร์ที่มาให้กำลังใจจากห้องถ่ายทอดสดพากันปรบมือแสดงความดีใจ

นายสุเทพให้สัมภาษณ์หลังจากศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้อง ว่า ต้องตกอยู่ภายใต้กระแสการโจมตีว่าเป็นคนเลว คนทุจริต เกือบ 10 ปี อดทนอดกลั้นและอาศัยความจริงเข้ามาต่อสู้ ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และรู้ว่าเราตั้งใจทำความดีให้กับชาติบ้านเมือง และประชาชน จะได้รับการคุ้มครอง

“ในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยแบ่งเป็นสามฝ่าย อำนาจตุลาการของศาลยังเป็นที่พึ่งหลักของบ้านเมืองได้ คนที่ยึดมั่นในหลักการ ยึดมั่นในระบบ ขอให้มีกำลังใจ สำหรับผมทนทุกข์ทรมานใจมานาน ตอนนี้หมดทุกข์ หมดโศก พ้นเคราะห์ จะเดินหน้าทำงานให้กับประเทศชาติและประชาชนตามอุดมการณ์ต่อไป ในชีวิตของตนทุ่มเททำงานให้กับบ้านเมืองและประชาชนด้วยความสุจริต ไม่มีใจที่จะคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน ไม่ใช่คนทุจริตคอร์รัปชั่น ทุกอย่างได้พิสูจน์แล้ว ใครที่เคยกล่าวหาโจมตี ผมขออโหสิให้” นายสุเทพกล่าว

พร้อมบอกเรื่องอนาคตการเดินหน้าทางการเมือง ว่า “ผมต้องการสนับสนุนพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริง ผมได้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังที่มี ส.ส. 5 คน และมีรัฐมนตรี 1 คน เราทำประโยชน์ให้กับประชาชนมามาก ช่วงที่ก่อตั้งพรรคผมถูกโจมตีจากข้อมูลเท็จ แต่วันนี้ผมมีกำลังใจในการเดินหน้าทางการเมืองต่อไป ยืนยันไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่จะขอสร้างนักการเมืองที่ดีมาทำงานเพื่อประชาชน”

 

ขณะที่ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์ประเทศไทย ได้ไลฟ์สดแสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าวว่า “ส่วนตัวก็ต้องแสดงความยินดีว่า นายสุเทพเก่ง มีความสามารถในการต่อสู้ จนทำให้ตัวเองบริสุทธ์ได้ วันนี้กระบวนการนี้ได้จบสิ้นแล้ว นายสุเทพจะไปเล่นการเมือง ไปเป็นที่ปรึกษา หรือไปทำงานให้ประชาชนก็เท่ากับว่า นายสุเทพทำได้ ไม่มีมลทินอะไรติดค้าง

“เป็นกระบวนการที่เริ่มตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ นำเรื่องนี้มาอภิปราย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งในวันนั้นผมไม่ได้เอ่ยชื่อนายสุเทพกับพรรคประชาธิปัตย์เลยแม้แต่น้อย แต่เนื่องจากการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งนี้ เป็นการใช้งบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งเริ่มต้นสัญญาในปี 2552 โดยนายสุเทพเป็นผู้เซ็นอนุมัติ เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง มีการไปรื้อฟื้นสัญญาว่า นายสุเทพเซ็นไม่ถูกต้อง จึงมีการต่อสู้กันมา จนผลปรากฎแล้ว ส่วนตัวก็ต้องยินดีด้วย”

แต่ในฐานะที่นำเรื่องเข้าสู่สภา นายชูวิทย์ยอมรับเลยว่า เรื่องนี้มีความเสียหายมันเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ยังหาผู้ที่รับผิดชอบกับความเสียหายกับงบประมาณในส่วนนี้ไม่ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องการทราบด้วย

ส่วนตัวไม่ทราบจริงๆ ว่าเรื่องนี้ใครผิด วันนั้นเป็นเพียงฝ่ายค้าน ไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎหมายลึกซึ้ง หรือว่ามีหน้าที่ในการหาตัวผู้กระทำผิด ตนเพียงแต่เห็นว่า โครงการที่มีความเสียหาย ผู้ผิดมันต้องมีแน่ๆ

แต่ถามว่าใครอย่างไร คงตอบได้แต่เพียงว่า ต้องยินดีกับนายสุเทพ ไร้มลทินแล้ว จะเรียกเครดิตเก่ากลับมาว่า ไม่มีความเสียหายเรื่องคอร์รัปชั่น ส่วนตัวก็ต้องยอมรับ

“แต่ถ้าถามผมเรื่องนี้มันก็ต้องมีคนผิด แต่จะเป็นใครนั้น เกินปัญญาผมจริงๆที่จะคาดเดา เพราะพูดไปวันนี้ผ่านมา 10 ปี ทุกอย่างคงตกหล่นหายไปตามกาลเวลาแล้ว” นายชูวิทย์กล่าว

 

ต่อมา นายชูวิทย์ยังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ “คดีโรงพัก” กับ “คดีจำนำข้าว” ชี้จุดให้เห็นถึงความเหมือนที่แตกต่างของ 2 คดีนี้ซึ่งข้อความของนายชูวิทย์ ระบุว่า “คดีโรงพัก” กับ “คดีจำนำข้าว” ความเหมือนที่แตกต่าง

เมื่อคำพิพากษามาเป็นแบบนี้ ก็ต้องยอมรับ เพียงแต่ทำให้ผมหวนคิดถึง “คดีจำนำข้าว” ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้ “กำกับดูแลนโยบาย” เช่นกัน แค่คิดเปรียบเทียบเท่านั้น เพราะผมเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ได้รู้เรื่องกฎหมายอะไรลึกซึ้ง

“อย่าคิดว่าผมไปเข้าข้างใคร บาปกรรมตาย ระหว่าง คดีโรงพัก กับ คดีจำนำข้าว คดีหนึ่งไม่พบหลักฐานการทุจริต อีกคดีหนึ่งพบหลักฐานการทุจริต แต่ก็เป็นเพียงผู้กำกับดูแลนโยบาย และไม่พบว่าใช้อำนาจครอบงำสั่งการให้มีการทุจริตเหมือนกัน ผมหมายถึงระดับ นายกฯ และรองนายกฯ นะครับ แม้ความเสียหายจะมีตัวเลขที่แตกต่างกัน แต่จะเสียหายเงินหลวง บาทนึง หรือเป็นหมื่นล้าน ผิดคือผิด ถูกคือถูก ประชาชนอย่างผมก็คิดได้เท่านี้”

 

ขณะที่อานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ถึงกับโพสต์ข้อความอ่านปรากฎการณ์ดังกล่าวว่า การที่สุเทพหลุดคดี คือสัญญาณการสู้แบบทุ่มสุดตัวของชนชั้นนำไทย พวกเขาไม่สนใจว่าอะไรจะพังไปกับพวกเขาบ้าง เราต้องเตรียมตัว เตรียมร่างกาย เตรียมใจให้พร้อม

แม้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่กฎหมายศาลฎีกาฉบับใหม่ เปิดช่องให้โจทก์และจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาได้

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวภายหลังรับทราบคำพิพากษาศาลว่า สำนักงาน ป.ป.ช. จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาฉบับเต็มมาพิจารณาและวิเคราะห์ ก่อนส่งให้ที่ประชุม ป.ป.ช. พิจารณาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป คงต้องรอดูว่าที่ประชุม ป.ป.ช. อุทธรณ์คดีนี้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม นับเป็นอีกหนึ่งชัยชนะทางคดีความของปีกอนุรักษ์นิยมในการเมืองไทย ขณะที่ก็ยังเป็นคำถามคาใจคนไทยทั้งประเทศว่า โรงพักสร้างไม่เสร็จทั่วประเทศที่เห็นอยู่ สุดท้ายไม่สามารถหาใครรับผิดชอบได้? มันเป็นไปได้อย่างไร