ผ่าสารพัดคดีสุดฉาว ตร.ดัง ครรชิต แตงจุ้ย พัวพันอุ้มเสี่ย-ฉ้อโกง เปลี่ยนชื่อ-ก่อเหตุอื้อ/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

ผ่าสารพัดคดีสุดฉาว

ตร.ดัง ครรชิต แตงจุ้ย

พัวพันอุ้มเสี่ย-ฉ้อโกง

เปลี่ยนชื่อ-ก่อเหตุอื้อ

 

นับเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคมอย่างสูง สำหรับคดีจับกุมคนร้ายฉ้อโกงร้านทอง ที่ตระเวนก่อเหตุไปทั่วภาคอีสาน แถมยังเลยเถิดไปก่อเหตุที่ฝั่งลาว

โดยที่ได้รับความสนใจก็เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นถึงอดีตนายตำรวจอนาคตไกล ระดับอดีต ผกก.จราจร สน.บางรัก พื้นที่เกรดเอบวกในกองบัญชาการตำรวจนครบาล แต่กลับเข้าไปพัวพัน อุ้มฆ่า “เสี่ยติงนัง” สจ๊วตหนุ่มสายการบิน เมื่อปี 2542 จากปมความขัดแย้งเรื่องราวของการพนัน จนถูกศาลพิพากษาจำคุก 15 ปี 6 เดือน

เมื่อออกจากคุกก็ยังก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นเรื่องการฉ้อโกงร้านทอง ใช้การสั่งจ่ายเช็คตบตา จนถูกจับซ้ำอีก แล้วก็ติดคุกเหมือนเดิม

ออกมาได้ก็ยังก่อเหตุแบบเดิมๆ อีก เป็นที่เห็นได้ว่าเมื่อตำรวจใช้ความรู้ความสามารถที่ร่ำเรียนมา หันมาเป็นโจรเสียเองแล้ว ความเสียหายย่อมมหาศาล

รวมทั้งการตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงไม่เข็ดหลาบ กลับเนื้อกลับตัว แถมยังเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ป้องกันไม่ให้เช็กประวัติได้อีก

กระบวนการยุติธรรมมีช่องทางป้องกันเรื่องเหล่านี้อย่างไร หรือจะกลายเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครควบคุมแก้ไขได้

ประชาชนพลเมืองดีที่ทำมาหากินอย่างสุจริต ก็ต้องหาวิธีป้องกันกันเอง ไม่ให้เป็นเหยื่อต่อไป

ทำได้เท่านี้จริงๆ ใช่หรือไม่!??

ก่อเหตุที่ลาว

จับอดีต ตร.ดัง ครรชิต แตงจุ้ย

เหตุการณ์นี้เปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. เปิดกองปราบปราม แถลงจับกุมนายธารา เจริญนาคา หรือนายครรชิต แตงจุ้ย อายุ 62 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดมุกดาหาร ที่ 111/2565 ลงวันที่ 7 กันยายน 2565 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”

หลังถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.ป. พ.ต.อ.วิศิษฐ์ พลบม่วง ผกก.1 บก.ปทส. นำกำลังเข้าจับกุมได้ภายในซอยวิภาวดี 40/2 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

โดยนายธารา หรือนายครรชิต มีพฤติกรรมไปติดต่อขอซื้อทองรูปพรรณจากร้านทองแห่งหนึ่งที่ จ.มุกดาหาร โดยจะชำระเงินด้วยการสั่งจ่ายเป็นเช็คธนาคาร พร้อมขอหมายเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหายไป ก่อนออกอุบายแจ้งกับร้านทองให้ทราบว่าเงินเข้าบัญชีแล้ว

ซึ่งเมื่อตรวจสอบไปที่ธนาคารช่วงเวลาดังกล่าว ปรากฏข้อมูลมีเงินเข้าบัญชีของทางร้านจริง จึงมอบทองรูปพรรณให้กับผู้ต้องหาไป ปรากฏว่าเมื่อผู้ต้องหาออกจากร้านไปแล้ว จึงตรวจสอบอีกครั้งก็พบว่าไม่มียอดเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารของทางร้านแต่อย่างใด ความเสียหายประมาณ 6 แสนบาท

จากการตรวจสอบก็พบว่า ผู้ต้องหาจะอาศัยช่องว่างของการเคลียริ่งเช็คธนาคาร ซึ่งจะปรากฏยอดแจ้งว่ามีเงินเข้าบัญชีจริง แต่เป็นยอดเงินจากการจ่ายเช็คเคลียริ่ง ไม่ใช่เงินสดแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ร้านทองได้รับความเสียหาย จึงเข้าแจ้งความกับ สภ.เมืองมุกดาหาร พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นต่อศาลเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาไว้ ก่อนจะตามจับกุมได้ดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังพบว่านายครรชิตมีหมายจับของศาลจังหวัดหนองคายที่ 145/2565 คดีหมายเลขดำที่ อ 627/2565 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 อีก 1 คดีด้วย เบื้องต้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงนำตัวส่ง สภ.เมืองมุกดาหาร ดำเนินคดีต่อไป

จากการตรวจสอบประวัติพบนายครรชิต เคยก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว ทั้งที่แขวงสะหวันเขต ประเทศลาว ร้านทองย่านสุรวงศ์ ทุกครั้งใช้ช่องว่างระหว่างเคลียริ่งเช็คก่อเหตุทุกครั้ง เรียกว่าก่อเหตุมานับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

และที่น่าช็อกมากไปกว่านั้นก็คือ นายครรชิตคนนี้ ก็คืออดีตนายตำรวจคนดัง พ.ต.ท.ครรชิต แตงจุ้ย อดีต ผกก.จร.สน.บางรัก นรต.36 ที่พัวพันคดีอุ้มฆ่ามาในปี 2542

เมื่อพ้นโทษก็ออกมาก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำอีก!!!!

ค้นหลักฐาน

ย้อนคดีอุ้มหายเสี่ยติงนัง

สําหรับนายครรชิต หรืออดีต พ.ต.ท.ครรชิต นั้นถือเป็นนายตำรวจดาวรุ่งของรุ่น นรต.36 ติดยศ พ.ต.ท.อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็มีไปส่วนพัวพันกับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของเสี่ยติงนังž นายชัยรัตน์ รุ่งเรือง สจ๊วตสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ซึ่งอีกด้านหนึ่งก็เป็นผู้กว้างขวางปล่อยเงินกู้ในบ่อนการพนัน ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยที่คอนโดฯ ย่านลาดพร้าว พร้อมรถเบนซ์หรู หมายเลขทะเบียน พฮ 9895 กทม. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542

ต่อมาแนวทางสืบสวนทราบว่า นายชัยรัตน์ถูกอุ้มหาย โดยมีสาเหตุจากเรื่องหนี้สินในบ่อนการพนัน ซึ่งมีตำรวจ สน.บางรัก 3 นายเข้าไปมีส่วนพัวพัน แต่ครั้งนั้นยังไม่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาคนไหน เนื่องจากยังไม่พบศพนายชัยวัตน์ ไม่มีหลักฐานยืนยันการเสียชีวิต

ต่อมาปี 2549 พบรถเบนซ์ของนายชัยรัตน์ถูกนำไปขายที่เต็นท์รถแห่งหนึ่ง แต่เมื่อตรวจสอบใบครองครองกรรมสิทธิ์ กลับเป็นของคนอื่น ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นเอกสารที่ปลอมแปลงขึ้น และมีส่วนพัวพันกับแก๊งอาชญากรที่ออกตระเวนเช่ารถจากบริษัทให้เช่ารถต่างๆ โดยใช้เอกสารปลอม และนำรถไปขายต่อยังประเทศเพื่อนบ้านในราคา 3-5 แสนบาทต่อคัน และติดตามจับกุมมาดำเนินคดีจนได้

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุก พ.ต.ท.ครรชิตในคดีใช้เอกสารปลอม-ปลอมลายมือ เป็นเวลา 15 ปี 6 เดือน

โดยคดีนี้อัยการบรรยายความผิดระบุว่า ระหว่างวันที่ 29-30 มิถุนายน 2542 ร่วมกันลักทรัพย์รถยนต์เบนซ์ ทะเบียน พฮ 9895 กทม. ราคา 1,470,000 บาท และแคชเชียร์เช็คธนาคารศรีนคร จำกัด (มหาชน) สาขาสมุทรปราการ จำนวนเงิน 1.6 ล้านบาท กับแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาถนนนางลิ้นจี่ จำนวนเงิน 500,000 บาท รวมมูลค่า 2.1 ล้านบาท ของนายชัยรัตน์

โดยจำเลยกับพวก ยังร่วมกันปลอมตั๋วเงิน ซึ่งร่วมกันเขียนปลอมลายมือชื่อนายชัยรัตน์ ลงในด้านหลังแคชเชียร์เช็ค ธ.ศรีนคร และ ธ.กรุงศรีอยุธยา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ธนาคารหลงเชื่อว่าแคชเชียร์เช็คทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นตั๋วเงินที่แท้จริง และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันนำตั๋วเงินแคชเชียร์เช็คไปเรียกเก็บเงินต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนจันทร์

นอกจากนี้ จำเลยกับพวก ยังร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จกับ ร.ต.อ.ประเสริฐ โตศักดิ์สิทธิ์ พนักงานสอบสวน สน.บางรัก เกี่ยวกับคดี รวมทั้งร่วมกันปลอมลายมือชื่อในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของนายชัยรัตน์ผู้เสียหาย ในเอกสารหนังสือมอบอำนาจ เพื่อให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้อง

เป็นคดีปลอมเอกสาร แต่ไม่มีคดีฆาตกรรมเพราะยังไม่มีผู้ใดพบศพเสี่ยติงนัง

ป.จับล่าสุด

เปลี่ยนชื่อ-ก่อเหตุอื้อ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำพิพากษาจำคุก 15 ปี 6 เดือน แต่แล้ว พ.ต.ท.ครรชิต หรือนายครรชิต กลับพ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555 นับเป็นเวลาไม่ถึง 3 ปี หลังจากที่ศาลพิพากษา และในปี 2558 นายครรชิต หรือนายภัทร ทรัพย์วรา หรือนายกรณ์ แตงจุ้ย หรือนายอ้อย หรือนายเอ ชื่อที่ใช้หลังออกจากราชการตำรวจก็แผลงฤทธิ์อีก

โดยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2558 พ.ต.ท.ครรชิต ที่คราวนี้ใช้ชื่อว่า นายรชต และ น.ส.บัวติ๊บ สาวคนสนิท ร่วมกันหลอกซื้อทองคำแท่งน้ำหนักรวม 150 บาท ราคา 2,707,500 บาท จากห้างขายทองโต๊ะกัง ที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน โดยโทรศัพท์มาสั่งทองคำแล้วให้ น.ส.บัวติ๊บไปรับทองคำที่ร้าน จ่ายชำระเป็นเช็คเงินสดธนาคารไทยพาณิชย์ โดยใช้เช็คและบัตรประชาชนของบุคคลที่แจ้งหายเอาไว้

ใช้กลโกงรอเวลาเคลียริ่งเช็ค แต่สุดท้ายลายมือชื่อไม่ตรงกับที่ให้ไว้กับธนาคาร จึงถูกปฏิเสธจ่ายเงิน และติดตามจับทั้งคู่ได้ที่ลานจอดรถอาคารอัญมณีเพลส เลขที่ 605/611 ซอยเพชรเกษม 92/2 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2558

ไม่เท่านั้น จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2557 พ.ต.ท.ครรชิต ร่วมกับนายสุทธิวุฒิ ถวิลรัมย์ และนายเบิ้ม ไม่ทราบนามสกุล ไปหลอกซื้อทองคำที่ห้างทองเจียบ เซ่ง เฮง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร โดยอ้างเป็นตัวแทนห้างทอง เฮง เซ่ง เฮง สาขาบางกะปิ ซื้อทองคำแท่งน้ำหนัก 300 บาท มูลค่า 5,424,000 บาท โดยใช้อุบายเดียวกัน ผู้เสียหายแจ้งความไว้ที่ สน.พระราชวัง

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2558 พ.ต.ท.ครรชิต ร่วมกับนายธนบดี ดวงมาลา และหญิงไทยไม่ทราบชื่อ หลอกห้างทองจิ้นไถ่เฮง แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ซื้อทองคำแท่งน้ำหนักรวม 400 บาท มูลค่า 7,928,000 บาท โดยใช้เช็คจ่ายอีก ผู้เสียหายแจ้งความที่ สน.สำราญราษฎร์

สรุป พ.ต.ท.ครรชิต พร้อมพวก ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ร้านค้าทองคำ 3 ราย ทองคำแท่ง 850 บาท มูลค่า 16,059,500 บาท

เมื่อพ้นโทษออกมาในปี 2565 แล้วก็มาก่อเหตุลักษณะเดิมในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะหนองคายและมุกดาหาร จนกองปราบฯ จับกุมดำเนินคดีได้ในครั้งนี้

ก็ไม่รู้ว่าคราวนี้จะติดคุกอีกกี่ปี แล้วออกมาจะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ก่อเหตุหลอกหลวงฉ้อโกงแบบเดิมๆ อีกหรือไม่

ประชาชนที่ทำมาหากินสุจริต ก็ต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง!!!