ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | เปลี่ยนนายกฯ ดีกว่าพังทั้งระบบ

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

เหลืออีกแค่สัปดาห์เดียวก็จะถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี

นั่นเท่ากับเหลืออีกแค่ไม่กี่วันที่จะชี้ชะตาอนาคตประเทศว่าจะเดินไปทางไหน ระหว่าง ก) การเมืองแบบปกติ กับ ข) การเมืองแบบที่อภิสิทธิ์ชนใช้คุณประยุทธ์ยึดประเทศจนกว่าจะตายกันไปข้าง

ทุกคนรู้ว่าคุณประยุทธ์และ “ระบอบประยุทธ์” มีอำนาจตลอดแปดปีเพราะการสนับสนุนของชนชั้นอภิสิทธิ์ชน

แปดปีที่คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ จึงเป็น 8 ปีที่ความสัมพันธ์ของประชาชนกับอภิสิทธิ์ชนเลวร้ายอย่างที่สุด เช่นเดียวกับอภิสิทธิ์ชนก็ปฏิบัติกับประชาชนเลวร้ายที่สุดด้วยเช่นกัน

ไม่มียุคไหนที่ชาวบ้านด่ารัฐบาล, ทหาร, ศาล, องค์กรอิสระ, วุฒิสภา ฯลฯ เท่ากับยุคนี้

และไม่เคยมียุคไหนที่รัฐบาล, ทหาร, ศาล, องค์กรอิสระ, วุฒิสภา ฯลฯ ตอบโต้ประชาชนด้วยการด่า, อุ้ม, บุกถึงบ้าน หรือยัดคดีเท่ากับยุคปัจจุบันนี้ด้วยเช่นกัน

ถ้าคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อทั้งที่ความจริงคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ แล้ว 8 ปี ความไม่เชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อองค์กรยุติธรรมและทุกกลุ่มที่ถูกมองว่าเป็น “พวกประยุทธ์” หรือ “ระบอบประยุทธ์” ก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น ว่าถึงที่สุดประเทศนี้เป็นของคุณประยุทธ์กับพวก ต่อให้จะผิดจากความจริงแค่ไหนก็ตาม

สำหรับคนที่รักประเทศนี้จริงๆ ไม่ใช่รักเพราะได้ประโยชน์, ได้ตำแหน่ง, ได้เงิน, ได้เครือข่าย หรือเกิดมาจากพ่อแม่ในตระกูลอภิสิทธิ์ชน คำตัดสินให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ 8 ปี คือ “สาร” ที่ตอกย้ำอีกครั้งว่าประเทศนี้ไม่ใช่ของประชาชนทุกคน

หนึ่งเดือนที่คุณประยุทธ์พ้นทำเนียบ คือหนึ่งเดือนที่ได้พิสูจน์แล้วว่าคุณประยุทธ์ไม่มีความจำเป็นต่อประเทศหรือรัฐบาล คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งทำหน้าที่รักษาราชการแทนนายกฯ สามารถบริหารประเทศไปได้ตามปกติ งานราชการไม่มีอะไรหยุดชะงัก และการแก้ปัญหาประชาชนก็เดินไปตามครรลองอย่างที่ควรเป็น

คุณประยุทธ์เป็นผู้นำที่ดีหรือไม่ เป็น “มุมมอง” ซึ่งเท่ากับเป็นเรื่องที่แต่ละคนมีสิทธิคิดเห็นแตกต่างกัน แต่คุณประยุทธ์เป็นผู้นำที่ไม่สำคัญนั้นคือ “ข้อเท็จจริง” ที่ปฏิเสธได้ยาก เพราะถ้าคุณประยุทธ์เป็นผู้นำที่สำคัญจริงๆ ประเทศไทยที่ไม่มีคุณประยุทธ์มาเกือบเดือนคงมีปัญหามากเหลือเกิน

ไม่ว่าจะเป็นองค์กรระดับรัฐบาล, ธุรกิจ, บริษัท, วงดนตรี, ทีมฟุตบอล, วัด, สื่อ ฯลฯ ผู้นำสำคัญคือคนที่องค์กรขาดไม่ได้ หายไปก็ทำให้การดำเนินงานถดถอย

แต่ถ้าอยู่ต่อแล้วมีสภาพถูลู่ถูกังน่าสมเพช ถ้าเป็นบริษัทก็ค้าขายร่วง เป็นวงดนตรีก็ไม่มีคนดู เป็นทีมฟุตบอลก็ทีมแพ้ หรือเป็นสื่อก็ไม่มีใครดู

สำหรับผู้นำที่ไม่สำคัญสำหรับองค์กร คนแบบนี้อยู่ก็ไม่มีอะไร หายไปก็ไม่ทำให้การทำงานถดถอย ถ้าเป็นบริษัทก็เอาใครมาแทนก็ได้ ถ้าเป็นนักดนตรีก็เป็นคนแบบที่หายไปวงก็ไม่ล่ม ถ้าเป็นนักฟุตบอลก็เป็นคนที่ไม่ลงไม่เป็นไร หรือถ้าเป็นสื่อก็เป็นสื่อที่ถึงหายไปก็ไม่มีผลกับผู้ชมหรือองค์กร

เมื่อคำนึงว่าคุณประยุทธ์เป็นทั้งนายกฯ, หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ ผอ.ศบค. การหายตัวไปของคุณประยุทธ์กลับไม่มีผลให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือโควิดเปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว

คำสั่งพักงานคุณประยุทธ์จึงเป็นหลักฐานว่าคุณประยุทธ์เป็นแค่หัวหลักหัวตอของระบอบที่ไม่มีค่ากับใคร

แน่นอนว่าคุณประวิตรรักษาราชการแทนนายกฯ ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดของประเทศ ไม่ต้องพูดว่าคุณประวิตรไม่ใช่และไม่เคยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของประชาชน แต่ข้อดีของการมีคุณประวิตรทำหน้าที่นี้คือการยืนยันว่า “โอเปอเรชั่น” หรือระบบปฏิบัติการประเทศเดินหน้าได้โดยไม่ต้องมีคุณประยุทธ์เลย

ถ้าคุณประยุทธ์ฉลาดสักเศษเสี้ยวของการอวดอ้างว่าตัวเองฉลาดต่อประชาชน คุณประยุทธ์ย่อมรู้ว่าหนึ่งเดือนนี้คือบทพิสูจน์ว่าคุณประยุทธ์ไม่จำเป็นต่อประเทศนี้ หรือพูดให้แรงขึ้น คุณประยุทธ์ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศจนคุณประยุทธ์หายไปก็ไม่มีผลอะไร

สำหรับอภิสิทธิ์ชนที่ต้องการหนุนคุณประยุทธ์ให้เป็นนายกฯ เกิน 8 ปี คำตัดสินในวันที่ 30 กันยายน จะเป็นใบเสร็จของการหนุนคนที่ไม่มีประโยชน์กับใครให้เป็นนายกฯ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือเท่ากับเป็นการประกาศว่ากลุ่มสนับสนุนคุณประยุทธ์มีผลประโยชน์ตรงข้ามกับประชาชน

แม้ประเทศไทยหลังปี 2557 จะเต็มไปด้วยกฎหมายและวิธีปฏิบัติที่สื่อว่าใครคือเจ้าของประเทศตัวจริง แต่การทำแบบนั้นก็ทำให้ประเทศเกิดความขัดแย้งระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จนเกิดพรรคอนาคตใหม่ในปี 2562, ม็อบราษฎรปี 2563 หรือการต่อต้านคุณประยุทธ์โดยคนที่เคยหนุนคุณประยุทธ์เองในปัจจุบัน

ถ้าอดีตกำหนดปัจจุบันและบอกอนาคต อดีตที่เกิดหลังปี 2562 ก็คือสัญญาณเตือนว่าปรากฏการณ์แบบเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นอีกในการเลือกตั้งปี 2565 หรืออย่างช้าก็ไม่เกินมีนาคม 2566 ซึ่งจะเป็นเวลาทองของการเช็กบิล “ระบอบประยุทธ์” ที่อาจเข้มข้นกว่าความขัดแย้งปี 2562-2564 ถึงขั้นที่คุยกันไม่รู้เรื่องเลย

สำหรับคนที่รักประเทศจริงๆ มากกว่าผลประโยชน์และการกอบโกย การผลักดันให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดคือประตูสู่การเผชิญหน้าระหว่างรัฐกับประชาชนซึ่งเข้มข้นกว่าในอดีต และอาจเป็นไปได้จะเข้มข้นถึงจุดที่รัฐประคองสถานการณ์ได้ยากเหลือเกิน

แน่นอนว่าประเทศไทยปี 2563 เป็นเหมือนภูเขาไฟที่จู่ๆ ก็ระเบิดเถ้าถ่านแห่งความคับแค้นของยุคสมัยออกมาเป็นธารลาวาเชี่ยวกรากใส่ชนชั้นนำ และถึงแม้ในที่สุดอำนาจรัฐจะประสบความสำเร็จในการกดทับพลังของยุค แต่ความไม่พอใจของคนไม่ได้หายไป และพร้อมจะกลับมาใหม่ตลอดเวลา

รากฐานของระบอบการปกครองที่แข็งแกร่งคือความยอมรับนับถือจากประชาชน แต่รากฐานของระบอบการปกครองจากปี 2557 จนถึงปี 2565 คือการบังคับประชาชนให้ยอมจำนนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะด้วยกฎหมาย, คำสั่งองค์กรกระบวนการยุติธรรม, กระบอกปืน, ตำรวจนอกเครื่องแบบ, โทร.ข่มขู่ หรือด้วยการยัดคดี

อาจมีผู้โต้แย้งว่าคนไทยทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตและทำมาหากินได้ปกติดี แต่ความปกติในเวลานี้คือความปกติเสมือน (Virtual Normalcy) ที่คนเราจะมีชีวิตปกติได้เฉพาะในกรอบที่รัฐหรือชนชั้นนำอนุญาต ใครที่จะคิดหรือพูดอะไรมากกว่านั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยงต่อการถูกคุกคามในรูปแบบต่างๆ กันเอง

คุณประยุทธ์ทำให้ประเทศเสื่อมถอยจากการสร้างรัฐที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใสเป็นรัฐที่ผุพัง, ไร้สมรรถภาพและเป็นระบบพวกพ้อง ผู้มีอำนาจวันนี้จึงทำเรื่องไม่สมเหตุสมผลจนอธิบายไม่ได้เยอะไปหมด ยิ่งนานความยอมรับนับถือจึงยิ่งลด

ส่วนความเสื่อมศรัทธาของประชาชนยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน

ล่าสุด คำตัดสินว่าคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ผิดในคดีที่สื่อเรียกว่า “ทุจริตโรงพักร้าง” หรือ “ฮั้วประมูล” ยิ่งทำให้ประชาชนมีคำถามต่อระบบขึ้นไปอีก คำตัดสินทำให้เกิดคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีใครผิด ทั้งที่ประเทศเสียหายกว่า 6 พันล้านบาท

ยิ่งไปกว่านั้น คำตัดสินนี้เกิดวันเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มงบฯ ลับให้คุณประยุทธ์สู้คดีเหมืองทองรวมเป็น 800 ล้าน และเพิ่มงบฯ ลับให้กระทรวงกลาโหมอีกกว่า 1,300 ล้าน ซึ่งทั้งหมดไม่มีเหตุผลที่ประชาชนยอมรับได้ ซ้ำผู้มีอำนาจยังอำมหิตจนปกปิดไม่ให้ประชาชนรู้แม้แต่นิดเดียว

ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ เกิน 8 ปีหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ “ระบอบประยุทธ์” สร้างศัตรูไว้มากจนคุณประยุทธ์แทบไม่มีพันธมิตรทางการเมืองเหลือแล้ว พรรคการเมืองที่ประกาศหนุนคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อเต็มที่คือพรรคที่มีแต่นักการเมืองที่ไม่มีใครเลือกเลย

ต่อให้เป็นคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเคยร่วมงานกับคุณประยุทธ์ในรัฐบาล การหาเสียงของคนกลุ่มนี้ก็พยายามมีระยะห่างกับคุณประยุทธ์อย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะคุณสมคิดที่พูดถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจและการเมืองน้ำเน่ายุคคุณประยุทธ์ เหลือเพียงแต่ยังไม่ระบุชื่อคุณประยุทธ์ออกมาตรงๆ

ภายใต้บรรยากาศที่คนทุกกลุ่มหันหลังให้กับคุณประยุทธ์ ยกเว้นคนที่เกาะคุณประยุทธ์เพื่อเอาตัวรอด การผลักดันให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ 8 ปี คือการสาดน้ำมันเข้าไปในหัวใจประชาชนที่ไม่นานจะกลายเป็นความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหญ่จริงๆ

ราคาของชนชั้นนำในการโอบอุ้มคุณประยุทธ์กำลังจะแพงกว่าสิ่งที่ชนชั้นนำได้ในการโอบอุ้มคุณประยุทธ์ไว้ต่อไป