โฉมหน้า ‘ไต้เฮียบ’ เปิดเปลือย อย่างล่อนจ้อน ต่อ ทารกแห่งบู๊ลิ้ม | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

โฉมหน้า ‘ไต้เฮียบ’

เปิดเปลือย อย่างล่อนจ้อน

ต่อ ทารกแห่งบู๊ลิ้ม

 

ทั้งๆ ที่คำบอกเล่าจากปากของอาฮุย ได้รับการตอกย้ำยืนยันด้วยรายละเอียดอันพิสดารอย่างยิ่งจากปากโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ลิ่มเซียนยี้

แต่ฉั้งฉิกก็เพียรอย่างเต็มกำลังยืนกรานว่าไม่เป็นความจริง

ด้านหนึ่ง ฉั้งฉิกดำเนินการเพื่อหักล้างคำบอกเล่าของอาฮุยว่าที่มันสังหารมิใช่โจรดอกเหมย ด้านหนึ่ง เห็นได้จากอาฮุยหน้าเขียวคล้ำ เลื่อนมือแตะด้ามกระบี่อย่างเชื่องช้า

ลี้ชิ้มฮัวพลันทอดถอนใจ “น้องเรา ท่านยังคงไปเถอะ”

เหตุผลของลี้ชิ้มฮัวรวบรัดอย่างยิ่ง “มีไต้เฮียบ (วีรบุรุษผู้กล้า) เช่นฉั้งฉิกเอี้ยกับเตี่ยตั้วเอี้ยอยู่ที่นี่ไหนเลยจะยอมปล่อยให้บุรุษหนุ่มที่ออกท่องเที่ยวในยุทธจักรเช่นท่านฆ่าโจรดอกเหมยได้

ไม่ว่าท่านกล่าวกระไรอีกล้วนไม่มีประโยชน์”

มือของอาฮุยกำด้ามกระบี่แนบแน่น กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “ข้าพเจ้าก็ไม่คิดจะกล่าววาจากับบุคคลเช่นนี้อีก แต่กระบี่ของข้าพเจ้า”

ยังมิทันที่อาฮุยจะกล่าวต่อ ลี้ชิ้มฮัวก็กล่าวอธิบาย

 

ต่อให้ท่านฆ่าพวกมันจนหมดสิ้นก็ไม่มีประโยชน์ ยังคงไม่มีคนยอมรับว่าท่านฆ่าโจรดอกเหมย เหตุผลข้อนี้ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ

หากท่านคิดมีชื่อเสียง ทางที่ดีต้องเข้าใจเหตุผลข้อนี้ก่อน

ไม่เช่นนั้น ท่านจะเป็นเช่นข้าพเจ้า จะช้า จะเร็ว ท่านก็ต้องกลายเป็นโจรดอกเหมยไป ขอเพียงท่านยินยอมยกเรื่องราวที่มีหน้ามีตาให้แก่บรรดาไต้เฮียบทั้งหลาย ไต้เฮียบทั้งหลายก็จะเห็นว่าท่านเป็น

“บุรุษหนุ่มอนาคตไกล” เป็น “อัจฉริยะที่ควรแก่การส่งเสริม”

ผ่านไปอีกสิบปี ยี่สิบปี รอจนไต้เฮียบเหล่านั้นเข้าโลงไปจนหมดสิ้นก็จะถึงรอบที่ท่านมีชื่อเสียงแล้ว

โกวเล้งบรรยายท่าทีของอาฮุยห้วงเวลานี้ออกมาว่า

อาฮุยเงียบงันชั่วขณะ พลันยิ้มออกมา รอยยิ้มนี้ดูไปงามสง่าถึงเพียงนั้น แต่ก็อ้างว้างถึงเพียงนั้น

อาฮุยยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนี้ เป็นว่าข้าพเจ้าคงไม่มีชื่อเสียงตลอดกาล”

 

อย่าว่าแต่ชื่อเสียงที่จำเป็นต้องรอคอยเลย แม้ว่ามันจะสำแดงเจตจำนง “มีชื่อเสียงก็ดี ไม่มีชื่อเสียงก็ดี วันนี้เราสองได้พบกัน จะดีชั่วต้องไปดื่มสุราสักถ้วย”

ฉั้งฉิกยิ้มพลางสอดคำขึ้น “วันนี้เกรงว่ามันไม่อาจน้อมสนอง”

ฉั้งฉิกยิ้มพลางโบกมือวูบ ที่นอกห้องโถงปรากฏชายฉกรรจ์ 2 คนโถมเข้ามา คนหนึ่งไว้เคราครึ้ม มือถือดาบเหล็กกล้า กล่าวเสียงเกรี้ยวกราด

“เป็นฉั้งฉิกกล่าว คำพูดของฉั้งฉิกเอี้ยคือคำสั่ง”

อีกคนหนึ่งร่างผอมสูงกว่า ตวาดสำทับขึ้น “ผู้ใดกล้าขัดคำสั่งฉั้งฉิกเอี้ย ผู้นั้นต้องตาย”

คนทั้งสองแม้ยืนห้อยมือสำรวมอยู่หน้าห้องโถงราวกับเป็นบ่าวไพร่ แต่ยามนี้พอเคลื่อนไหวท่าร่างกลับปราดเปรียวดุร้าย

ในเสียงตวาดดาบเหล็ก 2 เล่มกลับกลายเป็นรุ้งเหินลอย 2 สาย

อาฮุยมองการลงมือของทั้ง 2 อย่างเย็นชา คล้ายกระทั่งเคลื่อนไหวยังไม่เคลื่อนไหว แต่แล้วทันใด ประกายเย็นเยียบวูบแล้ววูบอีก ตามมาด้วยเสียงอุทานอย่างแตกตื่น 2 ครา ประกายดาบ 2 สายพวยพุ่งขึ้น

เสียงฉึกเมื่อปักกับขื่อขวางของห้องโถงใหญ่

ชายฉกรรจ์ทั้ง 2 ใช้มือซ้ายกุมมือขวา เจ็บปวดจนหน้าเปลี่ยนสี ชั่วครู่ให้หลังก็ปรากฏโลหิตสายหนึ่งไหลซึมออกจากร่องนิ้ว

กระบี่รวดเร็วนัก รอยยิ้มบนใบหน้าฉั้งฉิกผนึกค้าง

“คำพูดของฉั้งฉิกเอี้ย คือคำสั่ง น่าเสียดายที่กระบี่ของข้าพเจ้าไม่เข้าใจคำสั่งของผู้ใด มันเพียงรู้จักฆ่าคน”

เท่ากับท้าโดยตรงไปยัง “ไต้เฮียบ” แล้ว

 

ในสถานการณ์จะอยู่ ในสถานการณ์จะไปอันแหลมคม และร้อนแรงนี้เอง ในสถานการณ์ที่อาฮุยต้องการไปดื่มสุรากับลี้คิมฮวงนี้เอง

เล้งโซ่วฮุ้นพลันกล่าวด้วยเสียงอันเกรี้ยวกราด “ท่านจะให้มันไป ไฉนไม่คลายจุดในตัวมัน”

กล้ามเนื้อริมฝีปากอาฮุยคล้ายกระตุกถี่เร็ว พริบตานั้นหัวใจลี้คิมฮวงก็เต้นถี่เร็ว พลางนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น วันที่อาฮุยจับตัวอั้งฮั่นมิ้งให้แก่มันทิ้งไว้ที่ห้องครัวของซุนคุ้ย ทั้งยังมัดมันไว้อย่างแน่นหนากับเก้าอี้

วันนั้น ลี้คิมฮวงก็รู้สึกประหลาดใจ ที่อาฮุยไม่จี้จุดคนผู้นั้นไว้ บัดนี้ พอขบคิดก็เข้าใจทันที

บุรุษหนุ่มที่มีกระบี่รวดเร็วสุดยอดของแผ่นดินถึงกับ “จี้จุด” ไม่เป็น

จำเป็นที่ลี้คิมฮวงต้องปฏิเสธคำเชิญชวนให้ไปดื่มสุรา อาฮุยทราบ ลี้คิมฮวงไม่ต้องการให้มันเสี่ยงอันตราย เนื่องเพราะเมื่อมันไม่สามารถคลายจุดให้ลี้คิมฮวงก็มีแต่จะต้องแบกลี้คิมฮวงออกไป

หากมันแบกลี้คิมฮวงอยู่กับหลังก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทะลวงออกจากวงล้อมได้

 

เป้าหมายเฉพาะหน้าของอาฮุยย่อมเป็นชั้งชิกที่กลยุทธ์เฉพาะหน้าของมัน คือ การแยกอาฮุยออกจากลี้คิมฮวง

แล้วเข้าจัดการอาฮุยอย่างรวบรัด

ไม่เพียงลี้คิมฮวงอ่านออก อาฮุยก็อ่านออก แต่คนอย่างอาฮุยมีหรือจะหวาดเกรง มีหรือจะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้า

“พวกมันว่าท่านเป็นบ๊วยฮวยเต๋าท่านก็เป็นบ๊วยฮวยเต๋าหรือไร”

พลันก้มลงไปอุ้มลี้คิมฮวงขึ้นแบกบนหลัง ขณะเวลานั้นเอง สองมือที่ไพล่หลังของชั้งชิกสะบัดออกมา

แลเห็นประกายกระบองเป็นจุดแต้ม

พอลงมือก็จี้ใส่จุดสำคัญที่ทรวงอกของอาฮุยถึง 11 จุด ขอเพียงกระบองอ่อนของมันจี้อยู่เยี่ยงนี้ อาฮุยก็อย่าหมายจะลงมือตีโต้

อาฮุยมิได้ชักกระบี่ อาฮุยก็เป็นเช่นดั่งลี้คิมฮวง กระบี่พอกรีดต้องไม่กลับเปล่าแน่นอน

ตอนนี้ กระบี่ของอาฮุยไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำอันตรายคนได้

ห้วงเวลาเดียวกันนั้น เตี่ยเจี้ยอั้วซึ่งยืนหน้าเขียวคล้ำอยู่ โดยมิเคยส่งเสียง โดยมิเคยเคลื่อนไหว ตอนนี้พลันตวาดด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด

“กับบ๊วยฮวยเต๋าไม่จำเป็นต้องเคารพกฎบู๊ลิ้ม ท่านทั้งหลายไยยังไม่ลงมือกัน”

คนทั้งมวลมองดูอาฮุยที่ขยับกายหลบหลีกอยู่ในเงากระบองของชั้งชิกยังคงลังเลอยู่ กระบองหวายของชั้งชิกแม้เป็นสุดยอดวิชาหนึ่งในบู๊ลิ้ม แต่กลับไม่สามารถสยบบุรุษหนุ่มผู้นี้ลงได้ จำเป็นที่เตี่ยเจี้ยอั้วต้องสำทับอีก

“ฆ่าบ๊วยฮวยเต๋าตายนับเป็นเกียรติยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน มีโอกาสเยี่ยงนี้แล้วท่านทั้งหลายจะยอมปล่อยให้ผ่านพ้นไปหรือ”

วาจาเพิ่งขาดคำ อาวุธ 7-8 เล่มเข้าใส่ลี้คิมฮวงที่อยู่บนหลังอาฮุย

 

ความน่าสนใจของสถานการณ์นี้มิได้อยู่ที่ว่าชะตากรรมของลี้คิมฮวงจะเป็นอย่างไร ชะตากรรมของอาฮุยจะเป็นอย่างไร

หากอยู่ที่บทบาทของคน 2 คน

1 ย่อมเป็นเล้งโซ่วฮุ้น และ 1 ย่อมเป็นลิ่มเซียนยี้ ซึ่งรับรู้และเข้าใจกระบวนการทั้งหมดได้เป็นอย่างดี

แม้จะอยู่คนละด้านของเหรียญก็ตาม

เห็นได้จากท่วงท่าของลิ่มเซียนยี้ที่โถมเข้าไปคว้าร่างของเล้งโซ่วฮุ้นพลางร้องขึ้น “ซี่ก่อ ท่านเหตุใดไม่ขัดขวางพวกมัน”

เป็นเสียงร้องที่ดังมาพร้อมด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“หรือท่านก็ดูไม่ออกว่าเราก็ถูกคนจี้จุดไว้” เป็นคำตอบเหมือนกับต้องการสารภาพและยอมรับในความผิดจากเล้งโซ่วฮุ้น

ระยะเดียวกันนั้นมีเสียงแผดร้องโหยหวน ปรากฏคน 3 คนเซถลามาล้มลงกับพื้น