จับสัญญาณ ‘ธรรมนัส’ คัมแบ๊ก ผนึก ‘บิ๊กป้อม’ สู่เป้าหมาย ส.ส. 150 เสียง/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

จับสัญญาณ ‘ธรรมนัส’ คัมแบ๊ก

ผนึก ‘บิ๊กป้อม’

สู่เป้าหมาย ส.ส. 150 เสียง

 

สัญญาณการเดินหน้าทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มีพี่ใหญ่ของกลุ่ม 3 ป. อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ยังคงมุ่งมั่นที่จะไปต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า

หากดูจากนัยยะล่าสุดที่ พล.อ.ประวิตร นำคณะรัฐมนตรีในส่วนของพรรคพลังประชาชารัฐ ไปตรวจราชการที่ จ.ตาก เมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อมอบสิทธิ มอบสุขในที่ดินทำกิน ผ่านหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งติดตามสถานการณ์ชายแดนและสถานการณ์น้ำในพื้นที่ พบว่านอกจากมี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐในส่วน จ.ตาก จ.พิจิตร มาต้อนรับแล้ว แต่ที่เป็นสิ่งน่าจับตาของคนการเมือง คือ มี ส.ส.ของพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.) ที่นำโดย “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร และเลขาธิการพรรค ศท. นายจีรเดช ศรีวิราช ส.ส.พะเยา พรรค ศท. นางทัศนาพร เกษเมธีการุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค ศท. ซึ่งถือเป็นสายตรงของ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และหัวหน้าพรรค ศท. เดินทางมาต้อนรับ พล.อ.ประวิตร ในการลงพื้นที่ด้วย

ซึ่ง ส.ส.พรรค ศท. ล้วนไม่ใช่คนอื่นไกล เนื่องจากเป็น ส.ส.เดิมที่เคยอยู่กับพรรค พปชร. แต่ย้ายออกมาพร้อมกับ ร.อ.ธรรมนัส ภายหลังมีจุดแตกหักทางการเมืองกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

โดยท่าที “บิ๊กป้อม” ที่มีต่อกลุ่ม ส.ส.พรรค ศท. ล้วนยังเปี่ยมไปด้วยไมตรีที่มีต่อกัน สอดรับกระแสข่าวที่ว่า ร.อ.ธรรมนัสจะยกทีม ส.ส.พรรค ศท. กลับมายังบ้านหลังเดิม คือ พรรค พปชร. ในการร่วมกันสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

ยิ่งสัญญาณที่ พล.อ.ประวิตรบอกถึงการเตรียมพร้อมในการคัดผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในพื้นที่ภาคเหนือไว้ด้วยว่า “ถ้าพื้นที่ไหนที่พรรค ศท.ส่งลง พรรค พปชร.ก็ไม่ลง ไม่เป็นอะไร รวมถึงในพื้นที่ภาคเหนือด้วย” ยิ่งเป็นการเปิดกว้างกับพรรค ศท.

โดยเฉพาะคำถามที่ว่า ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่หาก ส.ส.พรรค ศท. จะขอย้ายกลับมาพรรค พปชร.เหมือนเดิม ซึ่ง “บิ๊กป้อม” ตอบคำแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า

“ยังไม่ตอบ ขอให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วผมจะตอบ”

 

เมื่อสแกนดูความพร้อมต่อการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ “ตัวจริง” และ “บิ๊กเนม” ของแต่ละพรรคทยอยเปิดตัวในทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น เริ่มด้วยพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) เมื่อวันที่ 8 กันยายน เปิดตัว “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้ามารับตำแหน่ง ประธานพรรค สอท. พร้อมกับชูเป็นแคนดิเดตอยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 1 ของพรรค สอท. และวางจุดยืนและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนพรรค สอท.ตามที่ “สมคิด” ประกาศไว้ว่า “มาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ผมต้องการมาเพื่อช่วยพรรค พรรคนี้เป็นตัวอย่างเป็นตัวขับเคลื่อนสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทยในทางที่ถูกต้อง”

ขณะที่พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ถือฤกษ์ วันที่ 9 เดือน 9 จัดประชุมใหญ่พรรค พร้อมกับเปิดหน้าระดับนำที่จะมาถือธงนำลงสนามการเลือกตั้ง คือ มีมติเลือก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรค ทสท. ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ทสท. ควบคู่กับการเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งนายกฯ ของพรรค ทสท.ด้วย

โดยจุดยืนและนโยบายของพรรค ทสท. ตามคำประกาศของ “คุณหญิงสุดารัตน์” คือ ขอเป็นทางเลือก เป็นการเมืองในขั้วที่สาม ไม่ขัดแย้งกับฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ยึดแนวทางเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมกับชูโมเดลแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง เปิดนโยบายบำนาญประชาชน เดือนละ 3 พันบาท รองรับสังคมผู้สูงอายุ

รวมทั้งยังเดินหน้าจัดตั้งกองทุนสตาร์ตอัพ-ธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ปลดล็อกรัฐราชการ สร้างพลังให้กับคนตัวเล็ก

ส่วนอีกหนึ่งพรรคใหญ่ในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่าง พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ผ่านมา นอกจากจะเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้องของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พ่วงด้วยเก้าอี้ประธานที่ปรึกษาพรรค ด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ที่สื่อถึงนัยยะทางการเมืองที่ชัดเจนว่า “ตระกูลชินวัตร”

ยังเดินหน้าทางการเมืองอย่างเต็มที่ผ่านการขับเคลื่อนของพรรค พท.

แต่ที่ชัดเจนยิ่งกว่า คือ กิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย “สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ” ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการลงพื้นที่เมืองหลวงของพรรค พท.อย่าง จ.เชียงใหม่ ของคนตระกูลชินวัตร ยังเป็นการเปิดตัวอีกหนึ่งผู้มีบารมีตัวจริงของพรรค พท. อย่าง “คุณหญิงอ้อ” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยานายทักษิณ นำสมาชิกในครอบครัวชินวัตรมาร่วมให้กำลังใจ “อุ๊งอิ๊ง” ในการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่

ถือเป็นการเปิดตัวร่วมกิจกรรมในทางการเมืองของ “คุณหญิงอ้อ” ในรอบ 15 ปี กับการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายคว้าชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ ของพรรค พท. ที่ต้องได้ 250 เสียง ซึ่งมีผลได้-เสีย ต่อการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

 

การที่แต่ละพรรคการเมืองเปิดหน้าขุนพลระดับนำ เพื่อสู้ศึกการเลือก หาก “บิ๊กป้อม” จะนำพรรค พปชร.ไปต่อในการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ 150 เสียง ท่ามกลางการแข่งขันทางการเมืองที่จะดุเดือดมากยิ่งขึ้น “บิ๊กป้อม” จะต้องมี “ขุนพล” คู่ใจที่จะเป็นมือในการเดินเกมทางการเมือง อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เคยโชว์บทบาทในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ส่งพรรค พปชร.ชนะเลือกตั้งเข้าป้ายได้เสียง ส.ส.เข้ามาเป็นอันดับสอง และด้วยกติกาทั้งรัฐธรรมนูญ 2560 และ “ดีล” ทางการเมือง ทำให้พรรค พปชร.สามารถเดินเกมรวมเสียง ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาล จัดตั้งรัฐบาลผสมส่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นนายกฯ ต่อเนื่องยาวกว่า 8 ปี

ซึ่งความมั่นใจต่อเป้าหมาย 150 เสียงของพรรค พปชร.ในการเลือกตั้งครั้งหน้า คือ ยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่ “พล.อ.ประวิตร” วางเกมหวังให้พรรค พปชร.ได้เป็นแกนนำในการรวมเสียงกับพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพราะด้วยเงื่อนไขและจุดยืนในทางการเมืองย่อมจะเป็นไฟต์บังคับให้ทั้งพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ต้องไปทำการบ้านในการสู้ศึกเลือกตั้งให้ได้เสียงพอที่จะจับมือกับพรรค พปชร. จัดตั้งรัฐบาลกันอีกหนึ่งวาระ

ซึ่งความเป็นไปได้มีมากกว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลทั้งพรรค ภท.และพรรค ปชป.จะไปจับมือกับพรรคเพื่อไทย

ส่วนเป้าหมาย 150 ที่นั่งของ “บิ๊กป้อม” จะสำเร็จหรือไม่ ผลการเลือกตั้งครั้งหน้า คือคำตอบ