อาณาจักรโล่เงินยุค ‘บิ๊กเด่น’ วิกฤตขาด ‘นักสืบพันธุ์แท้’ เชื่อ ‘บิ๊กโจ๊ก’ คุมหน้างานอยู่/บทความโล่เงิน

บทความโล่เงิน

 

อาณาจักรโล่เงินยุค ‘บิ๊กเด่น’

วิกฤตขาด ‘นักสืบพันธุ์แท้’

เชื่อ ‘บิ๊กโจ๊ก’ คุมหน้างานอยู่

 

บัญชีแต่งตั้ง 255 นายพล มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป

รหัส “พิทักษ์ 1” ตามที่ทราบกัน “บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 38 และนักเรียนเตรียมทหาร (ตท.) รุ่นที่ 22 รุ่นเดียวกับ “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. “บิ๊กจ๊อด” พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ว่าที่ ผบ.ทร. และ “บิ๊กตุ๊ด” พล.อ.อ.อลงกรณ์ วัณณรถ ว่าที่ ผบ.ทอ. ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ รุ่นเดียวกันคุมทุกเหล่าทัพในรอบ 30 ปี

ขณะที่รอง ผบ.ตร. มาจาก ผช.ผบ.ตร. 4 คน พล.ต.ท.ชินภัทร หรือ “บิ๊กป๋อ” สารสิน, “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล, “บิ๊กต่าย” พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และ “บิ๊กต่อ” พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม รวม 5 คน และที่อยู่ในระนาบเดียวกัน จเรตำรวจแห่งชาติ “บิ๊กหิน” พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ

สแกนรายชื่อรอง ผบ.ตร.เดิมและใหม่ ไม่มีใครเชี่ยวชาญงานสืบสวนสอบสวนเลย ต่างกับยุค ผบ.ตร.คนที่ 12 มีระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีทั้ง “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข และ “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ เป็นนักสืบ และมือปราบ

ไล่ชื่อลงไปถึงระดับ ผช.ผบ.ตร.ทั้งชื่อเดิมและที่เพิ่งอัพเก้าอี้ ประกอบด้วย พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง, พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช, พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง, พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์, พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข, พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ, พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง, พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ก็ไม่มีใครขึ้นชื่อว่าเป็น “นักสืบพันธุ์แท้” เช่นกัน

ปกติถ้าเกิดคดีสำคัญระดับประเทศ กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รอง ผบ.ตร.ดูแลหน้างานสืบสวนสอบสวนจะนั่ง “ซีอีโอเคส” ตั้งทีมสั่งการตำรวจแต่ละภาคที่เกี่ยวข้องกับคดี และประสานองค์กรระหว่างประเทศกรณีที่คนร้ายหลบหนี

งานนี้ “บิ๊กเด่น” เหนื่อยแน่ ถ้าเกิดคดีซ้ำรอยอย่างฆ่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เกาะเต่า

 

คํานวณกันว่า กว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะสร้างนักสืบได้ทัน ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ตร. ใช้เวลาประมาณ 5 ปี

ในส่วนกองบัญชาการนครบาล (บช.น.) ในฐานะกรุงเทพมหานครถือว่าเป็นหน้าตาประเทศไทย ไม่น่ากังวล เพราะ “บิ๊กปั๊ด” ได้ส่ง พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ศิษย์ ผบก.สส.บช.น. อดีตนักสืบลูกหม้อนครบาล มีผลงานเป็นที่ยอมรับในวงการ นั่งรอง ผบช.น. และโยกศิษย์รักอีกคน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 มาเสริมทัพในตำแหน่ง ผบก.สส.บช.น.

“ผบ.ปั๊ด” ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์นักสืบ เคยบอกไว้ว่า “บก.สืบสวน บช.น. บช.ภ 1-9 และ บช.จชต.เป็นหน่วยหลัก ในการทำงานต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ เวลามีคดีเกิดขึ้นต้องสามารถบริหารจัดการได้เอง โดยจะต้องประสานงานกับชุดของส่วนกลาง…”

จึงไม่แปลกที่ได้จัดวาง “ผู้การสืบสวน” หน่วยหลักทุกกองบัญชาการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ อย่าง พล.ต.ต.อภิชาติ วรรณภักดิ์ ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร นักสืบลูกหม้อเก่าสืบภาค 1 เป็น ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.ธีระชัย ชำนาญหมอ รอง ผบก.สส.บช.น. เติบโตจากงานสืบสวน เป็น ผบก.สส.ภ.2, พล.ต.ต.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ เป็น ผบก.สส.ภ.6, พล.ต.ต.สาธิต พลพินิจ ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ลูกหม้อสืบภาค 9 เก่า เป็น ผบก.สส.ภ.9, พ.ต.อ.ไมตรี สันตยากุล รอง ผบก.ภ. จว.ปัตตานี ทำงานสืบสวนชายแดนใต้มาตลอด เป็น ผบก.สส.จังหวัดชายแดนภาคใต้

ส่วนกองบัญชาการภาคอื่นๆ ยังอยู่ที่เดิม

 

ล่าสุดมีรายงานว่า “บิ๊กเด่น” เตรียมร่างหนังสือคำสั่งการมอบหมายหน้าที่ให้รอง ผบ.ตร. วางตัวให้ พล.ต.อ.กิตติรัฐ รับหน้าที่กำกับดูแลด้านงานบริหาร (บร.) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จะทำหน้าที่กำกับดูแลด้านงานป้องกันและปราบปราม (ปป.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำหน้าที่กำกับดูแลด้านงานสืบสวนสอบสวน (สส.) พล.ต.อ.ชินภัทร กำกับดูแลด้านงานกฎหมายและคดี (กมค.) พล.ต.อ.รอย ทำหน้าที่กำกับดูแลด้านงานด้านความมั่นคงและกิจการพิเศษ (มค.,กศ.) และ พล.ต.อ.วิสนุ กำกับดูแลด้านงานจเรตำรวจ (จตช.)

ว่าที่ ผบ.ตร.คนที่ 13 เปิดเผยกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าไม่มี “นักสืบพันธุ์แท้” คุมหน้างานรอง ผบ.ตร.สส. ว่า ไม่น่ามีปัญหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะดูแลงานสืบสวนสอบสวนได้ เพราะเป็นคนหนุ่ม ทุ่มเท มีความสามารถ ทำงานขยันขันแข็ง ผ่านประสบการณ์การทำงานคดีสำคัญมาเยอะ ถือว่าเป็นคนทำงานดีอยู่แล้ว ทั้งคดีค้ามนุษย์ คดีสำคัญในพื้นที่ภูธรภาค 8, 9 และการปราบปรามผู้มีอิทธิพลต่างๆ

“การทำคดีนั้นไม่ใช่ระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงไปเอง แต่มีผู้บังคับการสืบภาค, ผู้บังคับการสืบจังหวัด ยกเว้นถ้าเกิดคดีสำคัญ ไม่สามารถรู้ตัวผู้กระทำ หลักฐานน้อย สามารถบูรณาการตั้งทีม ดึงมือดีจากนครบาล และกองปราบปราม รวมทั้งเชิญนักสืบแต่ละภาคมาช่วยทำคดีกันได้ และปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่จะมาช่วยในการหาหลักฐาน ทำได้ง่ายกว่า 20-30 ปีที่ผ่านมา ตำรวจสมัยใหม่จะใช้เทคโนโลยีเป็นหลักในการคลี่คลายคดี ไม่ใช่แบบวันแมนโชว์ แต่จะมีตั้งทีมคลี่คลายคดี” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์กล่าว

บิ๊กเด่นกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า คดีสำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จบลงที่ทีมผู้การสืบสวนภาค ผู้กำกับสืบจังหวัด เพราะรู้ตัวคนร้ายซึ่งเป็นคนในพื้นที่ ไม่สลับซับซ้อน

“คนเป็น ผบ.ตร.ไม่เก่งงานนักสืบ แต่สามารถหาคนช่วยได้ ให้ทำงานสำคัญ เพราะถือว่ามีลูกน้องเก่ง ลูกน้องก็มาช่วยเรา ดังนั้น ไม่ว่าใครจะคุมหน้างานสืบสวน ขอให้เกาะติดงาน ขยัน กัดไม่ปล่อยพอ” ว่าที่พิทักษ์ 1 กล่าว

จะเป็นไปตามว่าที่ ผบ.ตร.คนที่ 13 กล่าวหรือไม่ กาลเวลาถัดจาก 1 ตุลาคมนี้ไปเป็นเครื่องพิสูจน์