ของใหม่ Apple ใครไม่ ‘ว้าว’ แต่เราว่าดี/Cool Tech จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech

จิตต์สุภา ฉิน

@Sue_Ching

Facebook.com/JitsupaChin

 

ของใหม่ Apple

ใครไม่ ‘ว้าว’ แต่เราว่าดี

 

อีเวนต์ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีของ Apple ผ่านพ้นไปแล้วด้วยการเปิดตัว iPhone 14 พร้อมๆ กับผลิตภัณฑ์ยอดฮิตชิ้นอื่นๆ อย่าง Apple Watch และ AirPods Pro ซึ่งฉันมีโอกาสได้ไปร่วมงานเปิดตัวและจับของจริงที่คูเปอร์ติโน แคลิฟอร์เนีย มาด้วยท่ามกลางอากาศร้อนจัดที่อุณหภูมิสูงขึ้นไปแตะ 41 องศาอันเนื่องมาจากคลื่นความร้อนที่ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ ซานฟรานซิสโกพุ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

สื่อหรืออินฟลูเอนเซอร์บางเจ้าแสดงความผิดหวังว่า Apple เอาอีกแล้ว ไม่คิดนวัตกรรมใหม่ๆ เน้นแต่ยอดขายอย่างเดียว มีแต่ลูกเล่นแต่ไม่เห็นมีอะไรที่จำเป็นสักอย่าง

แต่ฉันกลับไม่คิดอย่างนั้น ถึงแม้งานในปีอื่นๆ ที่ผ่านมาอาจจะมีบ้างที่ทำให้ฉันแอบหาว แต่ฉันกลับรู้สึกว่างานในครั้งนี้ทำให้ฉันทึ่งบ่อยครั้งกว่าที่คิด

จนถึงตอนนี้ฉันเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะได้ข้อมูลมาแล้วว่า iPhone 14 ที่เปิดตัวมามีรุ่นไหน หน้าตาอย่างไร มีสีใหม่สีไหนบ้าง

ดังนั้น บทความของเราวันนี้เราจะไม่ได้มาสรุปงานเปิดตัวกัน แต่เราจะมาคุยกันว่าเรื่องสำคัญที่ฉันพูดถึงมันคืออะไร

 

Apple เริ่มงานด้วยเปิดตัวนาฬิกา Apple Watch Series 8 ที่ดีไซน์ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากรุ่นก่อน แต่มีความสามารถที่ปรับเพิ่มขึ้นมาหลักๆ 2 อย่าง ก็คือเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ และฟีเจอร์การตรวจจับการชนในกรณีที่ผู้สวมใส่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์

Apple ใส่เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิใหม่ 2 ตัวเข้าไปให้กับนาฬิการุ่นใหม่ ตัวหนึ่งอยู่ที่คริสตัลด้านหลังของนาฬิกาซึ่งเป็นจุดที่อยู่ใกล้ผิวหนังของผู้สวมใส่ และอีกตัวฝังไว้ด้านล่างจอ การมีเซ็นเซอร์ 2 ตัวแบบนี้ช่วยให้นาฬิกา Apple Watch สามารถแยกแยะอุณหภูมิร่างกายออกจากอุณหภูมิจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ ซึ่งก็แปลว่าอุณหภูมิร่างกายที่นาฬิกาวัดได้ก็จะมีความแม่นยำสูง โดยที่ Apple บอกว่ามีความแม่นยำที่ 0.1 เซลเซียส นับเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจมากทีเดียว

แว้บแรกฉันเข้าใจว่าการที่ Apple ทำให้นาฬิกาของตัวเองสามารถตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายได้แบบนี้น่าจะมาจากการที่เราใส่ใจอุณหภูมิร่างกายกันมากขึ้นนับตั้งแต่โควิดระบาดเป็นต้นมา เพราะอุณหภูมิร่างกายสามารถใช้เพื่อบ่งชี้อาการไข้ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการโรคโควิดได้

แต่ในงานเปิดตัวครั้งนี้ Apple กลับไม่ได้พูดถึงการใช้งานในรูปแบบนี้เลย กลับหันไปให้ความสำคัญกับการวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อสุขภาพของผู้หญิงเป็นหลัก

อุณหภูมิร่างกายที่เปลี่ยนไปอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนซึ่งจะช่วยบ่งบอกถึงช่วงเวลาไข่ตกของผู้หญิงได้ ยิ่งเราเก็บข้อมูลอุณหภูมิร่างกายได้แม่นยำแค่ไหน ข้อมูลช่วงเวลาไข่ตกที่ได้ก็จะแม่นยำมากขึ้น ที่ผ่านมาผู้หญิงต้องคอยวัดอุณหภูมิร่างกายด้วยตัวเองทำให้วัดได้ไม่บ่อยมากพอหรือพลาดบางช่วงเวลา อย่างเช่น ช่วงกลางคืนในตอนนอนหลับ

หลายปีก่อน Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Cycle Tracking เพื่อให้ผู้ใช้งานผู้หญิงได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับรอบเดือนของตัวเองได้ดีขึ้นมาแล้ว ดังนั้น เมื่อนาฬิกาสามารถวัดอุณหภูมิร่างกายได้และวัดได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยก็จะยิ่งทำให้ผู้หญิงเข้าใจสุขภาพของตัวเองมากขึ้น รู้เวลาไข่ตกแม่นยำขึ้น

ในที่สุดก็จะสามารถวางแผนครอบครัวได้ดีขึ้นไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นการตั้งครรภ์หรือหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ก็ตาม

ฉันคิดว่าการมีเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิร่างกายคงไม่ได้หยุดอยู่แค่การเก็บข้อมูลไข่ตก แต่ในที่สุดแล้วมันจะถูกพัฒนาให้นำไปใช้งานได้อีกหลายรูปแบบ

 

ส่วนอีกฟีเจอร์ที่เรียกว่า Crash Detection เป็นฟีเจอร์ที่ Apple ค้นคว้ามาเพื่อให้นาฬิกา Apple Watch (และยังใส่ไว้ใน iPhone รุ่นใหม่ด้วย) สามารถตรวจจับในกรณีที่ผู้ใช้งานเกิดอุบัติเหตุรถชนและขอความช่วยเหลือให้ได้โดยอัตโนมัติโดยมีความแม่นยำในการตรวจจับการชนหลายรูปแบบ ทั้งการชนด้านหน้า ด้านข้าง ด้านท้าย หรือในกรณีที่รถคว่ำ

ฟีเจอร์นี้เคยเปิดตัวมาแล้วในระบบปฏิบัติการ Android โดยสงวนไว้สำหรับโทรศัพท์ Pixel ของ Google บางรุ่น ดังนั้น แนวคิดอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่เอี่ยม แต่ Apple หยิบฟีเจอร์นี้มาโปรโมตให้กลายเป็นฟีเจอร์สำคัญและใส่ไว้ให้สำหรับ iPhone 14 ทุกรุ่นที่เปิดตัวพร้อมกันในครั้งนี้ ทำให้เป็นฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยที่คนจะเข้าถึงได้มากขึ้น

และยังมีอีกหนึ่งความสามารถของ iPhone รุ่นใหม่ที่ฉันคิดว่าดีมากนั่นคือการที่ iPhone 14 รองรับการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมได้แล้ว

การเชื่อมต่อกับดาวเทียมใช้ในกรณีที่เราอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีเสาสัญญาณมือถือตามปกติ แต่เราตกอยู่ในสถานการณ์คับขันที่ต้องการขอความช่วยเหลือหรือติดต่อคนอื่นอย่างเร่งด่วน

ความท้าทายของการเชื่อมต่อ iPhone เข้ากับดาวเทียมก็คือดาวเทียมโคจรรอบโลกในตำแหน่งที่สูงและด้วยสปีดที่เร็ว ตัว iPhone ไม่มีเสาอากาศขนาดใหญ่ที่ปกติแล้วโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อดาวเทียมได้จะต้องมี ดังนั้น Apple จึงปรับให้เสาอากาศที่ติดอยู่กับ iPhone อยู่แล้วสามารถส่งและรับข้อมูลกับดาวเทียมได้

และเขียนแอพพ์ช่วยนำทางให้กับผู้ใช้งานว่าจะต้องชี้ iPhone ไปยังทิศไหน ค้างไว้นานเท่าไหร่ จึงจะสามารถเชื่อมต่อดาวเทียมได้

Apple ยังได้พัฒนารูปแบบการขอความช่วยเหลือให้เป็นการส่งข้อความที่มีขนาดเล็กลงถึงสามเท่าและกดส่งได้ง่ายเพราะเดาทางมาให้หมดแล้วว่าเราน่าจะต้องการสื่อสารอะไรในยามฉุกเฉินบ้าง ผู้ใช้งานก็แค่ต้องกดเลือกเท่านั้น ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องในรูปแบบข้อความได้ Apple ก็จะส่งข้อความขอความช่วยเหลือเหล่านั้นตรงไปที่หน่วยงานเลย แต่ถ้าหน่วยงานไหนรับได้เฉพาะทางโทรศัพท์ Apple ก็จะมีคอลเซ็นเตอร์สำหรับช่วยโทรแจ้งเรื่องต่อให้ (ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานได้ในสหรัฐ และแคนาดาก่อน)

ฟีเจอร์ใหม่ทั้งเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย การทำให้ iPhone เครื่องเล็กๆ เชื่อมต่อกับดาวเทียมได้เพื่อขอความช่วยเหลือในยามคับขันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นกับงานเปิดตัวครั้งนี้

จริงๆ แล้ว Apple จะแค่ปรับดีไซน์ เพิ่มสีเก๋ๆ และรีดเงินผู้บริโภคต่อโดยไม่ต้องใส่ของพวกนี้เข้ามาก็ได้

แต่การที่ Apple ใช้ทรัพยากรที่มีเพื่อคิดค้นตัวช่วยด้านสุขภาพและความปลอดภัยเข้ามาก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าบริษัทคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานควบคู่ไปกับยอดขายด้วย

หรือการเปลี่ยนรูปแบบกล้องหน้าที่ตัดติ่งออก แล้วมาใช้ดีไซน์แบบเจาะรูแต่ก็ไม่ได้เจาะเฉยๆ เพราะใส่อินเทอร์เฟซเข้าไปให้กลายเป็นพื้นที่ที่ผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้แบบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหน้าจอในชื่อเรียกว่า Dynamic Island ก็ทำให้ฉันแอบให้คะแนนในใจเพิ่มไปด้วยเหมือนกัน

เพราะเมื่อนักพัฒนาที่เป็น third-party ได้เข้ามาร่วมคิดต่อยอดด้วยว่าจะใช้พื้นที่ตรงนั้นทำอะไรได้อีกบ้างก็คงจะกลายเป็นการเปิดฟลอร์ที่สนุกมาก

 

ฉันคิดว่าคนที่วิจารณ์งาน Apple ว่าน่าเบื่ออาจจะยังคิดถึงและโหยหาความรู้สึกของการได้ร้องว้าวดังๆ กับของใหม่อันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

แต่สำหรับฉัน สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่เซ็กซี่ แต่ถ้าที่มาของมันตั้งต้นมาจากพื้นฐานการคิดว่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น และมีศักยภาพที่จะต่อยอดเป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์ที่ไปได้ไกลกว่าแค่วันเปิดตัวมันก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกไม่เสียดายเวลาที่เข้าร่วมงานแล้ว

เอาไว้นานๆ ทีโยนอะไรมาให้ร้อง ‘ว้าว’ กันอย่างพร้อมเพรียงทั่วโลกบ้างก็น่าจะเบิกบานและสดชื่นดีเนอะ