เหตุการณ์กรีดร้องใต้ฝักบัว / ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : มีเกียรติ แซ่จิว

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด

มีเกียรติ แซ่จิว

 

เหตุการณ์กรีดร้องใต้ฝักบัว

 

ตอนนั้นน่าจะเกือบสิบปีแล้ว ‘ภาพใบเก่า’ เขากับฉันถ่ายคู่กัน ด้วยกล้องฟิล์มของเขา ไม่ได้ปัดฝุ่นเปิดกล่องดีวีดีนานจนเกือบลืม ‘หนังเรื่องโปรด’ ของเขาที่มีภาพใบเก่าของเรา

เสียงข้างล่างยังดังวุ่น ย้ายบ้านมาคราวนี้เพราะเราต้องการพื้นที่ที่กว้างขวาง ข้าวของยังจัดไม่เข้าที่เข้าทาง ลังกระดาษหลายกล่องบรรจุแผ่นดีวีดีเก่า หนังสือเก่าและแม็กกาซีนภาพยนตร์ที่ยังตัดใจทิ้งไม่ลง ยกบางส่วนขึ้นมาชั้นบน นั่งพักเหนื่อยรื้อของในลังออก ก็เจอหนังเรื่องโปรดของเขาที่ข้างในกล่องมีภาพใบเก่าของเรา เสียงข้างล่างยังดังวุ่นจนฉันต้องลุกแล้วลงไป

เย็นนั้นเรากินกันง่ายๆ สั่งข้าวกล่องผ่านแอพพ์จากร้านสะดวกซื้อให้เข้ามาส่ง กินเสร็จฉันขึ้นมาจัดข้าวของต่อ ต่อชั้นวางไม้สี่ชั้นชิดติดผนัง หยิบแม็กกาซีนหนังมาวางชั้นล่าง แผ่นวีซีดี ดีวีดี วางเรียงขึ้นจนเต็มสี่ชั้น เสียงข้างล่างเงียบไปสักพักใหญ่แล้ว เสียงที่ตอนอยู่กับเขาฉันไม่เคยนึกถึงว่าจะมี

ตอนนั้นน่าจะเกือบสิบปีแล้ว

 

เขาผล็อยหลับอยู่บนโซฟาบุหนังสีครีมในห้องรับแขก ฉันเดินขึ้นห้องนอนชั้นบน หยิบผ้านวมลงมาห่มคลุมให้เขา แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้า มองใบหน้าคมเข้มกำลังหลับตาพริ้มและแอบหอมแก้มเขา ก่อนหยิบรีโมทในมือเขากดปิดทีวี ลุกขึ้นปิดไฟ เดินขึ้นบันได เปิดประตูเข้าห้องนอน

ทว่า ยังไม่ทันได้ปิดประตู มือของเขาก็ดึงร่างของฉันเข้าไปสวมกอด ฉันตื่นตกใจ หัวใจเต้นแรง เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ทำอะไรไม่ถูก นี่แปลว่าเขารู้มาตลอด ตอนที่ฉันห่มผ้าให้เขา จ้องมองเขา และหอมแก้มเขา เขารู้ แต่เขาก็ปล่อยให้ฉันแตะเนื้อต้องตัว ทั้งที่เขากับฉันต่างก็เป็นเพศเดียวกัน

แต่คืนนี้ที่เขาเมามายหนักมาหาฉัน ขอค้างที่บ้านฉัน เพราะผิดใจกับคนรักมา

ฉันเป็นเพื่อนที่เขาชอบมาปรึกษาปัญหาหัวใจด้วยเสมอ แต่ฉันก็มักให้คำตอบเดิมๆ พูดซ้ำเดิมเหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ทำนองว่า ถ้าคนหนึ่งร้อน อีกคนหนึ่งเย็น ก็จะไม่มีปัญหา เขาก็หงึกหน้าทำทีว่าเข้าใจ แต่ก็ชอบแก้ต่างให้ตัวเองได้ทุกครั้งว่า เจอร้อนมาก็ยอมทน ยอมใจเย็น ใจเย็นจนจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ดี และมักจบลงด้วยคำพูดที่ทำให้ฉันได้แอบประทับใจทุกครั้งว่า “ถ้าเกิดแฟนเรานิสัยเป็นเหมือนนายก็คงดี” ฉันก็ได้แต่พูดกลบอาการเขินอายไปว่า

“เอาน่า อย่าคิดมาก คิดมากเดี๋ยวแก่ไวนะ”

…แต่กับคืนนี้…คืนนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่เขามา

เขาหิ้วเบียร์เข้ามาหลายกระป๋อง พร่ำบ่นเรื่องเดิมๆ ของแฟนสาว และฉันก็ตอบกลับไปแบบเดิมๆ ไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มท่องจำคำพูดเดิมของฉันได้บ้างหรือเปล่า หรืออยากย้อนถามฉันกลับบ้างไหมว่า หาคำปลอบคำใหม่ๆ บ้างไม่ได้หรือ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร พร่ำจบเขาก็พร้อมดื่มและขออนุญาตฉันนอนค้างบนโซฟาตัวเก่า พร้อมคว้ารีโมตบนโต๊ะกระจกใสเบื้องหน้า กดเปิดเคเบิลทีวีดูบอลพลางกระดกเบียร์พลาง ก่อนจะหลับใหลสู่ห้วงนิทรารมย์ไปเหมือนทุกครั้ง

…แต่กับคืนนี้…คืนนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่เขามา

 

ฉันรู้จักกับเขามาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แรกเริ่มเราไม่ได้สนิทกันเช่นนี้ ก็แค่รู้จักชื่อจริงชื่อเล่นกันตอนรับน้องที่รุ่นพี่ให้นิสิตใหม่แนะนำตัว เขากับเพื่อนๆ ชอบรวมกลุ่มกันเตะบอลอยู่ในสนาม ส่วนฉันกับเพื่อนหญิงสองสามคนที่ชื่นชอบในหนังสือเหมือนๆ กัน ก็มักจะชอบไปนั่งนิ่งสงบกันอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของห้องสมุด เราเริ่มมาสนิทมักคุ้นกันมากขึ้นก็ตอนที่ฉันกำลังเผชิญปัญหาและเขาก็เข้ามาช่วยไว้ทัน ซัดหน้าชายต่างห้องที่กำลังง้างหมัดเข้าใส่ฉันด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า หมั่นไส้ เกลียดตุ๊ดเกลียดแต๋วอะไรทำนองนั้น และตอนนั้นเองที่เขาขยิบตาให้และบอกฉันว่า ถ้ามันมาตอแยอะไรอีกให้บอกเขา

“ไอ้พวกนี้ชอบซ่ากับคนไม่มีทางสู้ เราละเกลียดจริงๆ”

…แววตาดุดันในตอนนั้นของเขา คิ้วคมเข้มของเขา จมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับทรงผมสกินเฮดของเขาและริมฝีปากล่างที่หนาพอเหมาะกับเรียวปากบางบน ก็ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของฉันนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ฉันเพิ่งมารู้ว่านอกจากฟุตบอลที่เขาชื่นชอบ ภาพยนตร์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาโปรดปราน โดยเฉพาะหนังเรื่อง Velvet Goldmine ที่เขาเคยเล่าให้ฉันฟัง การเรียนจึงเป็นความตั้งใจอันดับท้ายสุดที่เขาให้ความสำคัญ ฉันจึงมักอาสาเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องเรียนของเขาอยู่บ่อยๆ ชวนเขาเข้ามาทำรายงานอยู่กลุ่มเดียวกัน ถ่ายเอกสารเล็กเชอร์ให้ มาร์กใจความสำคัญที่น่าจะออกสอบให้เขาไว้ท่องจำ ซึ่งฉันก็ทำอยู่อย่างนั้นมาตลอดสี่ปีเต็มในรั้วมหาวิทยาลัย จนกระทั่งฉันกับเขาเรียนจบคณะอักษรศาสตร์ และรับปริญญาบัตรมาพร้อมกัน

เขาเข้ามากอดคอถ่ายภาพคู่กับฉัน กระซิบบอกขอบคุณฉัน ถ้าไม่ได้ฉันคอยช่วยเหลือ คงไม่มีวันนี้ให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ ฉันอยากกระซิบบอกเขาว่า ฉันเต็มใจทำให้ทุกอย่าง โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องร้องขอ เพราะสำหรับฉัน เขาได้หัวใจฉันไปนานแล้ว

แต่หลังจากวันรับใบปริญญา ใบหน้าที่คุ้นเคย รอยยิ้มที่คุ้นตา ความเป็นเพื่อนที่เคยร่วมเรียนกันมา ฉันจำต้องยอมรับความจริงถึงความเหินห่างเป็นธรรมดา สัจธรรมจริงแท้ของชีวิต ไม่มีใครสามารถเป็นนักเรียนไปได้ตลอดกาล แม้ฉันจะรู้สึกดีต่อเขามากมายเพียงใด แต่หน้าที่การงานที่รักที่ชอบของเราก็ต่างกัน และความรู้สึกลึกๆ ที่มิอาจเปิดเผยก็จำต้องปกปิดเอาไว้ ความจริงอาจทำร้ายฉัน ฉันยังอยากเป็นเพื่อนกับเขาไปนานๆ ยังไม่อยากสูญเสียเขาไป ยังอยากมีเขาอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก

…แม้จะเป็นเพียงที่ปรึกษาปัญหาหัวใจในเวลาต่อมาก็ยอม

 

แรกๆ เขาก็แค่โทร.เข้ามาไถ่ถามถึงงานพิสูจน์อักษรที่ฉันทำและเย้าว่า “ดีใจไหมที่ได้อ่านก่อนใคร” จากนั้นก็เล่าถึงงานนิตยสารหนังที่เขาทำให้ฉันฟังว่า ปักษ์นี้ตัวเองเขียนบทความ บทวิจารณ์หรือไปสัมภาษณ์ใครมาบ้าง บางทีก็ส่งไฟล์หนังเรื่องที่เขาชื่นชอบและบทวิจารณ์เรื่องเดียวกันมาให้ฉันอ่าน

โดยเฉพาะหนังเข้าใหม่เรื่อง Brokeback Mountain ที่เขาบอกว่าห้ามพลาดเด็ดขาด หรือบางครั้งฉันนั่งแว่นหนาตรวจงานอยู่หน้าคอมพ์ เขาก็จะทักมาถามทางเฟซบุ๊กว่า วันนี้งานยุ่งไหม เพิ่งถอดเทปเสร็จ หรือไปดูหนังรอบสื่อฯ มา สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีเขาอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา

กระทั่งล่าสุดเขาอยากนัดเจอฉัน พาแฟนมาให้รู้จัก แต่ฉันตอบปฏิเสธไป ไม่ใช่ไม่อยากเจอ แต่เลิกงานวันนั้น ฉันต้องไปเลี้ยงรับน้องใหม่กับที่ทำงาน จนถึงตอนนี้ หญิงที่เพื่อนฉันคบหาและทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ ฉันก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง เห็นก็แต่ในรูปที่เขาใส่ไว้เป็นพะเรอในเฟซบุ๊ก ซึ่งก็ดูขาวหมวยน่ารักตามแบบฉบับที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบพอกัน

แต่มาระยะหลังๆ นี้เอง ที่การพูดคุยสนทนากันทางโทรศัพท์ครั้งละนานๆ และการแชตคุยกันที่เขาชอบทำเป็นประจำเริ่มห่างหายไป แต่เปลี่ยนมาเป็นหลังสี่ทุ่มที่หน้าประตูบ้านฉัน…เขา พ่อเทพบุตรคิ้วเข้ม นัยน์ตาดุดันกระชากใจที่ฉันไม่เคยลืม มาขอค้างที่บ้านฉันยามมีเรื่องไม่สบายใจกับแฟนสาว

…และตอนนี้ ที่เขากำลังกอดฉันอยู่

 

ฉันพยายามตั้งสติและพยายามพูดเตือนให้เขาได้สติว่า นายกำลังเมา และฉันไม่ใช่คนรักของนาย แต่สองมือหนาหนักของเขาก็บีบสองข้างแก้มของฉัน สายตาจ้องเขม็งมองมาที่ฉัน สัมผัสได้ถึงลมหายใจเข้าออกของเขา ก่อนที่ใบหน้าจะโน้มเข้ามาจูบที่ปากฉันอย่างดุดันและลามเลยซุกซนไซ้ที่ซอกคอของฉัน และตอนนี้เองที่เนื้อตัวของฉันอ่อนระทวยอย่างมิอาจควบคุม

ราตรีกาลคืนนี้ ต่างจากทุกค่ำคืนที่หลับใหล ฉันไม่นอนเดียวดาย แต่มีเขานอนเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ฉันนอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืด หันมองแผ่นหลังหนาใหญ่ของเขา เขานอนตะแคงข้างพร้อมเสียงกรนเบาๆ หลับลึก ส่วนฉันมิอาจข่มตาหลับ กลัวว่าหลับแล้วพรุ่งนี้ตื่นมาจะไม่เจอเขา ฉันอยากนอนมองเขาในความมืดสลัวอย่างนี้ไปนานๆ

แต่แล้วฉันก็หลับ…หลับไปตอนไหนไม่รู้ ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ข้างกายฉันไม่มีเขาอยู่แล้วจริงๆ แต่บนปลอกหมอนสีขาวมีกระดาษพับครึ่งแผ่นหนึ่งวางอยู่ ฉันหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน เขาเขียนบรรยายไว้ยาวเหยียด ฉันนอนอ่านกระดาษแผ่นนั้น

…แค่ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายธรรมดาๆ ที่ไม่มีค่าอะไรที่ฉันควรจะให้ความสำคัญใส่ใจ ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่อยากระบายออก ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศ แต่หญิงคนรักไม่ชอบบทรักพิสดารที่เขาทำ ทะเลาะกันเพราะเรื่องบนเตียงอยู่บ่อยครั้ง

แต่ทุกครั้งเขาก็มาเล่าเรื่องโกหกให้ฉันฟังว่าทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาบอกก็แค่ความต้องการลึกๆ ไม่กล้าเล่าให้ฉันฟังตรงๆ แต่คืนนี้ที่เขาขืนใจทำกับฉัน เขามีสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยมทุกประการ มิได้กระทำไปเพราะความมึนเมาแต่อย่างใด

เขาบอกขอโทษฉัน ที่ทำลายความเป็นเพื่อนด้วยการกระทำเช่นนี้ เขาเพียงแต่อยากบอกความในใจลึกๆ ที่เขามีให้ฉันรับรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรต่อฉัน หากมิใช่ในฐานะเพื่อนเก่า เพื่อนสนิท เพื่อนที่รู้ใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าฉันจะรู้สึกแบบเดียวกับเขาหรือเปล่า ก่อนจบบรรทัดสุดท้าย เขาเขียนว่า

ผิดไหมที่เขาเป็นแบบนี้ และจะผิดมากไหม หากเขาต้องการให้ฉันเข้ามาอยู่ในชีวิตเขา ถ้าฉันคิดเหมือนกันกับเขา หลังอ่านจดหมายฉบับนี้จบ ให้ฉันเปิดหน้าต่างออกมา

เขาจะยืนโบกมือรอฉันอยู่ที่หน้าประตู

อ่านถึงประโยคนี้ ฉันรีบลุกพรวดจากที่นอน ตรงไปที่หน้าต่าง

เขาไม่ได้โกหก เขากำลังยืนโบกมือให้ฉัน ยืนรอฉันอยู่จริง

น้ำตาฉันร่วงเผาะ หวนคิดถึงตลอดระยะเวลาที่ผ่านที่ฉันมีแต่ความรู้สึกดีๆ ให้เขาเสมอมา

 

เสียงข้างล่างกลับมาดังอีกครั้งจนฉันต้องลุกแล้วลงไป ภรรยาฉันบอกแกคงแปลกที่ตื่นขึ้นมาก็ร้อง ลูกสาวของฉัน อีกไม่กี่เดือนก็จะสองขวบแล้ว เวลาแกร้อง ฉันมักทำอะไรไม่ถูก แต่เวลาแกยิ้ม หัวเราะ ฉันช่างมีความสุข ฉันมองภรรยาปลุกปลอบกล่อมลูก มองความรักที่เรามีให้กัน ตอนเราร่วมรักกัน ตอนรู้ว่ากำลังจะมีน้อง ตอนลูกสาวตัวน้อยเกิดขึ้นมา วินาทีที่ภรรยาประคองลูกไว้ในอ้อมกอดและฉันได้เข้าไปเห็น ลูกของฉัน ลูกของเรา เสียงร้องครั้งแรกที่ตอนอยู่กับเขาฉันไม่เคยนึกถึงว่าจะมี

ตอนนั้นน่าจะเกือบสิบปี ทำไมเราจึงเลิกกัน ฉันไม่ได้เลิกกับเขา แต่เขาเป็นคนมาขอเลิกกับฉันเองหลังจากที่คบกันมาได้เกือบหนึ่งปีเต็ม เขาก็เลือกกลับไปหาผู้หญิงคนเก่าของเขาและขอจบความสัมพันธ์กับฉันเพียงเท่านี้ พูดง่าย แต่ทำยาก และทำฉันเกือบตาย ชีวิตแทบพังทลายเพราะคำพูดง่ายๆ ของเขา

แต่ในความมืดมิดอับเฉา ภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ ฉันพิสูจน์อักษรทั้งน้ำตานองหน้าอยู่หลายคืน ใครคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยมองกลับเฝ้ามองฉันมาตลอดและเดินเข้ามาหาฉันในช่วงเวลาที่ฉันไม่เหลือใคร จากเพื่อนร่วมออฟฟิศคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยเห็นว่ามีตัวตนก็ปรากฏมีตัวตนขึ้นในใจฉัน

แม้ทีแรกเธอจะดูเป็นสาวเฉิ่มๆ ติดซีรีส์เกาหลี ติดอ่านนิยายรัก ชอบใส่แต่ชุดกระโปรงลายดอก แต่ในทีต่อมาเสน่ห์ของเธอก็เปล่งประกายออกมาจากการทำอาหารให้ฉันกิน คอยเป็นห่วงเป็นใย เข้ามาดูแลเอาใจใส่ฉันเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งหนึ่งที่ฉันวิ่งตามเอาใจใส่คนที่ฉันเคยคิดว่าจะฝากชีวิตไว้ตลอดไป

เกือบสิบปี แต่ฉันยังจดจำได้ไม่เคยลืม ทำไม ทำไมฉันเองก็ไม่เข้าใจ หรือ ‘ภูเขาหลังหัก’ เรื่องนั้นในภาพยนตร์จะย้ำเตือนช่วงเวลานั้นของเราสองคน

ทีแรกฉันขัดขืน ส่งเสียงร้อง สองมือขย้ำผ้าปูที่นอนแน่น แต่ทีต่อมาคล้ายภาพฝันพาเคลิ้มคล้อย ฉันขบกัดริมฝีปากตัวเอง มองเห็นเงาภาพวูบไหวเบื้องหน้าเหมือนหัวใจที่กำลังวาบไหวอ่อนตาม สิ่งละอันพันละน้อยภายในห้องประหนึ่งดั่งสายตารู้เห็นเป็นใจให้ร่างกายฉันยอมศิโรราบ ยินยอมให้การเคลื่อนไหวข้างบนนั้นกระทำได้ตามใจจนเสร็จสม

ยื่นกล้องฟิล์มตัวใหญ่ออกไป หันเข้าหาตัว เราสองคนยืนเปลือยท่อนบน สวมกางเกงว่ายน้ำอยู่ริมทะเลทางใต้ นับหนึ่ง สอง สาม แล้วยิ้ม ฉันยิ้มตาหยีในภาพ ส่วนเขาสวมแว่นกันแดดทรงกลม เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ แต่ไม่เห็นแววตาคู่นั้นว่ามีความสุข ลังเล สับสนหรือเศร้าในช่วงเวลาที่เราคบหากัน

…แต่สำหรับฉัน นั่นคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด

 

ลูกหลับไปได้พักใหญ่แล้ว ฉันเก็บข้าวของเข้าที่ เหนื่อยไม่ต่างจากภรรยา ภรรยากำลังอาบน้ำ ร้องเพลงแข่งเสียงน้ำจากฝักบัว ฉันเคาะประตูเรียก เธอเปิดชะโงกหน้าออกมาถามว่ามีอะไร ฉันดันเธอเข้าไป เธอรู้ความต้องการของฉัน เธอว่าเหนื่อยเอาไว้วันหลัง แต่ฉันไม่ฟัง ดันเธอเข้าชิดผนัง หน้าอกถูกเบียดเหมือนลูกโป่งกำลังถูกดัน ผมเปียกลู่ระต้นคอ น้ำอุ่นกำลังดี

ฉันเร่งรีบเข้าประชิดบั้นท้ายกลมกลึงอย่างใคร่กระหาย มือของเราชูขึ้นเหนือศีรษะบีบจับกันไว้แน่น ร่างของเราเปียกฉ่ำ ขาของเราเสียดสีกัน ฉันยังคงไม่หยุด ไม่ต่างจากครานั้นที่เขายังคงไม่หยุด ฉับพลันนั้นเหมือนปรากฏเงาภาพของเขามายืนประกบอยู่ข้างหลังฉัน และมี ‘เราสามคน’ ร่วมบรรเลงบทรักแนบแน่นอยู่ใต้ฝักบัว

…ไม่รู้ว่าเสียงของฉันหรือเสียงของภรรยา ‘เสียงของใคร’ จะกรีดร้องดังกว่ากัน •