ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 สิงหาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ความจริงตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียนแนะนำหนังสือ เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากการเมืองบ้าง
แต่เห็นใครต่อใครเขาพากันพูดถึงผลจากประชามติร่างรัฐธรรมนูญกันอย่างเกรียวกราว
จะไม่พูดกับเขาบ้างเดี๋ยวก็เชย
พูดอะไรไม่ดีก็เชยอีก
ช่วงนี้พระท่านทักว่าดวงไม่ดีครับ
ฮา
ประเด็นแรกเลยที่คอการเมืองทั้งหลายเขาพูดถึงกันมากที่สุด
ก็คืออนาคตของพรรคประชาธิปัตย์นับจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร
เมื่อชัดเจนแล้วว่าอิทธิพล (หรือแนวทาง) ของ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ คนเดียวมีพลังมากกว่าสามประสานอย่าง คุณชวน หลีกภัย-คุณบัญญัติ บรรทัดฐาน-คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมกัน
ที่สามท่านหลังสู้ท่านแรกไม่ได้เป็นเพราะอ่านสถานการณ์และอ่านใจแฟนคลับประชาธิปัตย์ผิด
หลักการหมดความขลัง
หรือว่าสตางค์และการบริหารจัดการสู้เขาไม่ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร แนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเทกโอเวอร์จากอีกฝ่าย หรือการแยกตัวออกไปตั้งพรรคตั้งกลุ่มใหม่ (อย่างที่เคยเกิดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งในประชาธิปัตย์)
ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมหรือเพ้อฝันอีกต่อไป
ประเด็นต่อมาคือพรรคเพื่อไทย
ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการไม่ทุ่มสุดตัวหรือการประเมินสถานการณ์แบบ “เข้าข้างตัวเองนิดๆ” นั้น นำมาซึ่งความพ่ายแพ้ซ้ำซาก
ที่จะหวังกินบุญเก่า รอว่ามีเลือกตั้งเมื่อไหร่แล้วจะกวาด ส.ส. เป็นกอบเป็นกำเหมือนเดิม
เห็นท่าจะยากขึ้น
ถ้าไม่มีการปรับปรุงระบบ กระบวนการ รวมทั้งการตอกย้ำจุดยืนในการรักษาประชาธิปไตย
ซึ่งทั้งหมดเคยเป็น “จุดขาย” มาตั้งแต่สมัยไทยรักไทย-พลังประชาชน
ถ้าไม่สามารถเสนอแนวทางใหม่ ระบบการจัดการใหม่ ทำให้คนทั่วไปเชื่อว่ามีการปรับปรุงหรือปฏิรูปตัวเองแล้ว
ถึงเลือกตั้งหนหน้ากลับมาชนะอีก รัฐบาลเพื่อไทยก็จะอยู่ในฐานะง่อนแง่น
หรือระบบการเมืองโดยรวมยังสุ่มเสี่ยงจะถูกล้มคว่ำจากอำนาจนอกระบบได้
เพื่อไทยโฉมใหม่ (ที่จะเป็นที่พึ่งที่หวังของคนทั่วไปได้) จะมีหน้าตาอย่างไร
น่าสงสัยและน่าสนใจ
อีกซีกหนึ่ง คสช. ซึ่งชนะการลงประชามติหนนี้จะเอาอย่างไรต่อไป หรือจะกำหนดท่าที-แนวทางของตัวเองอย่างไร
ยิ่งเข้มข้นขึ้น กีดกันคนอื่น-โดยเฉพาะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ออกไปมากขึ้น (เพราะถือว่าได้ฉันทามติจากประชาชนมาแล้วในระดับหนึ่ง)
หรือจะเปิดกว้างเปิดรับความแตกต่าง เปิดโอกาสให้หันหน้าเข้าหากันมากขึ้น (เพราะไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เนื่องจากเชื่อว่ามีประชาชนหนุนหลัง)
คสช. จะบริหารชัยชนะนี้อย่างไรให้เป็นประโยชน์ทั้งกับตัวเอง พวกพ้อง และสังคมไทย (ที่อาสาเข้ามารับผิดชอบ) ให้ได้มากที่สุด
หรือจะทำซ้ำรอยกับคนที่ตัวเองยึดอำนาจเขามา
คือใช้ชัยชนะเปลืองจนเข้าตัว
นี่ก็น่าสนใจเช่นกัน
แต่ตบท้ายด้วยเรื่องที่น่าตกใจก็คือ
จากผลการสำรวจของสถาบันพระปกเกล้า ก่อนการลงประชามตินั้น พบว่าคนไทยทั่วประเทศร้อยละ 57 ไม่ได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญเลย
แต่ก็ไปลงประชามติได้
ในจำนวนนี้เรียงลำดับสัดส่วนการไม่อ่านสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 69.4 ภาคกลาง ร้อยละ 60.4 ภาคใต้ ร้อยละ 57.1 ภาคเหนือ ร้อยละ 54.4
โดยมีภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่อ่านร่างรัฐธรรมนูญก่อนไปลงประชามติจำนวนน้อยที่สุดคือร้อยละ 52.9
ไม่อ่านแต่ลงมติได้ แปลว่าอะไร
แปลว่ามีความคิดความเชื่อบางอย่างฝังหัวอยู่แล้ว
แปลว่าสังคมไทยนี่เป็นสังคมมุขปาฐะของแท้ ใช้วิธีฟังเอาจากคนที่ชอบหรือคนที่เชื่อแล้วตัดสินใจได้เลย
ฯลฯ
เกินสติปัญญาความสามารถจะคิดวิเคราะห์แยกแยะครับ
ต้องรอผู้รู้มาวิจัยวิจารณ์ต่อไป
แต่ที่ต้องรับคำตำหนิไปเต็มๆ ก็คือ กกต. ในฐานะผู้จัดการเลือกตั้ง
เบิกสตางค์ไป 3,000 ล้าน แต่ชาวบ้านค่อนประเทศไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญก่อนลงประชามติ
ท่านทำอะไรกันอยู่หรือ
เห็นตัวเลขแล้วตกใจไหม-อายไหม
หรือไม่ค่อยรู้สึกอะไร?