วจี ‘ลิ่มเซียนยี้’ เผยแสดง วีรกรรม ‘อาฮุย’ ปราบ โจรดอกเหมย/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

วจี ‘ลิ่มเซียนยี้’

เผยแสดง วีรกรรม ‘อาฮุย’

ปราบ โจรดอกเหมย

 

มีคำถามมากมายท่ามกลางการกล่าวหาว่าลี้คิมฮวงเป็น “โจรดอกเหมย” เพราะปรากฏตัวอยู่ในที่พำนักของลิ่มเซียนยี้

แม้กระทั่งเฮียตี๋ร่วมสาบานอย่างเล้งโซ่วฮุ้นก็บังเกิดความแคลงคลาง

แม้กระทั่งเมื่ออาฮุยปรากฏเงาร่างขึ้นพร้อมกับลิ่มเซียนยี้และปล่อยซากศพที่แบกไว้ลงมาพร้อมกับคำประกาศ

“นี่จึงเป็นโจรดอกเหมย”

เป็นซากศพที่ทั้งแห้งกรังทั้งผอมซูบ บนใบหน้าปรากฏรอยแผลดาบเกลื่อนกลาดจนดูไม่ออกว่ามันความจริงมีรูปโฉมอย่างไร

บนร่างสวมชุดดำรัดรูป กระทั่งกระดูกซี่โครงยังโปนออกมา

ที่สำคัญเป็นอย่างมาก ผู้ตายกัดฟันแนบแน่นแม้ตายก็ไม่ผ่อนคลาย บนเรือนร่างไม่พบร่องรอยบาดแผลอันใด

เพียงแต่ที่คอหอยถูกทะลวงเป็นรูอยู่รูหนึ่ง

 

หลักฐานอันปรากฏอยู่เบื้องหน้า คำยืนยันอย่างหนักแน่นและจริงจังจากอาฮุยยังไม่สามารถสร้างความเชื่อถือให้กับจอมยุทธ์ ณ ห้องโถงแห่งนั้น

ดังคำกล่าวอย่างยิ้มแย้มจากชั้งชิก

“ท่านบอกคนตายผู้นี้จึงเป็นบ๊วยฮวยเต๋าตัวจริง ท่านอย่างไรก็มีวัยเยาว์เกินไป เข้าใจว่าผู้อื่นก็หลงกลง่ายดายดังท่าน หากแม้คนทั้งหลายต่างไปหาซากศพกลับมาบอกว่ามันเป็นบ๊วยฮวยเต๋า

แผ่นดินไยไม่ปั่นป่วนวุ่นวายเป็นการใหญ่”

แม้อาฮุยจะยืนยัน “ข้าพเจ้าไม่เคยหลอกลวงผู้ใดมาก่อนเลย และก็ไม่เคยหลงกลมาก่อนด้วย” พร้อมกับชี้ชวน

“ท่านดูปากของมัน”

ได้ยินดังนั้นชั้งชิกหัวร่อเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “เราเหตุใดต้องดูปากมัน หรือปากมันยังรู้จักเคลื่อนไหว ยังกล่าววาจาได้”

ผู้อื่นก็ตามมันหัวร่อกันเกรียวกราว

มาตรแม้นมันเหล่านั้นมิแน่ว่าจะรู้สึกขบขันหัวร่อ แต่เมื่อชั้งชิกหัวร่อจนเบิกบานใจเช่นนี้พวกมันไหนเลยไม่หัวร่อตามได้

“ข้าพเจ้าทราบว่ามันกล่าวไม่ผิด คนตายเป็นบ๊วยฮวยเต๋าจริงๆ”

ย่อมเป็นการยืนยันจากลิ่มเซียนยี้ โฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน

 

ตอนฉินต๋งตายข้าพเจ้าได้ดูออกว่ามันถูกอาวุธลับอันอำมหิตชนิดหนึ่งปลิดชีวิต แต่ฉินต๋งหลบอาวุธลับชนิดนั้นยังไม่พ้น

ยังพอทำเนา

ไฉนกระทั่งโง้วมึ่งเทียนที่เป็นยอดคนสูงส่งระดับนั้นยังไม่อาจหลบอาวุธลับนี้พ้นด้วย ข้าพเจ้าคิดเหตุผลนี้ไม่ออกเสมอมา

เนื่องเพราะมันเป็นความลับของบ๊วยฮวยเต๋า

ความลับของบ๊วยฮวยเต๋าอยู่ที่ปากมันนั้นเอง เนื่องเพราะยามมันกล่าววาจากับผู้อื่นอาวุธลับพลันพุ่งปราดออกจากปากมัน

ดังนั้น ผู้อื่นจะไม่มีทางรู้ตัวก่อนเลย และไม่มีทางหลบหลีกพ้นอีกด้วย

ในปากของมันขบกระบอกอาวุธลับอยู่ ไหนเลยยังจะกล่าววาจากับผู้อื่นได้อีก นี่ก็คือความลับในความลับของมัน

มันมิใช่ใช้ปากกล่าววาจา แต่ใช้ท้องมาส่งเสียง

ปากของมันมีไว้สำหรับฆ่าคนเท่านั้น

 

คําพูดทั้งหมดนี้ของลิ่มเซียนยี้ฟังดูแม้เหลวไหลจนน่าหัวร่อ แต่นักเลงเก่าเช่นฉั้งฉิกและพวกกลับไม่รู้สึกว่าน่าหัวร่อแม้แต่น้อย

ทำไม

ทั้งนี้เพราะ เหล่านักเลงเก่าล้วนทราบว่าในโลกมีวิชา “ส่งเสียงทางท้อง” (ปักงื่อซุก) อันลึกลับอยู่ชนิดหนึ่ง

ฟังว่าถ่ายทอดมาจากเปอร์เซีย ชมพูทวีป

ความจริง เพียงเป็นการละเล่นของนักแสดงปาหี่ สุ้มเสียงฟังดูน่าขบขันอยู่บ้าง แต่หากเป็นยอดฝีมือ ใช้ลมปราณควบคุมบังคับ

สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาย่อมผิดแผกแตกต่างแล้ว

ยิ่งเมื่อลิ่มเซียนยี้ถาม “ฉั้งฉิกเอี้ยตอนประมือกับผู้คน สายตาจะมองดูตำแหน่งใด” คำตอบคือ “ย่อมมองดูร่างของฝ่ายตรงข้าม”

ถามต่อ “เป็นตำแหน่งใดบนร่าง” คำตอบคือ “หัวไหล่ของมัน และมือของมัน”

“นั่นก็ใช่แล้ว” เป็นบทสรุปของลิ่มเซียนยี้ “ยอดฝีมือชิงชัยไม่ว่าผู้ใดไม่จ้องมองปากของฝ่ายตรงข้าม มีแต่สุนัข 2 ตัวกัดกันค่อยถลึงมองปากของคู่ต่อสู้ ทั้งนี้เพราะ คนไม่คล้ายสุนัข ต้องไม่ใช้ปากกัดใส่

แต่โจรดอกเหมยพานใช้ปากฆ่าคน

ทั้งนี้เพราะไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าในแผ่นดินจะมีเรื่องเช่นนี้ จึงถูกมันลอบทำร้าย ยิ่งเป็นยอดฝีมือยิ่งถูกมันลอบทำร้ายได้โดยง่ายดาย

ทั้งนี้เพราะยอดฝีมือชิงชัยจะไม่มองดูตำแหน่งเหนือไหล่ขึ้นไป”

 

แต่ละถ้อยคำอันมาจากปากลิ่มเซียนยี้ไม่เพียงแต่ยืนยันว่าซากศพเป็นโจรดอกเหมย หากยิ่งพูดยิ่งอธิบายให้กับอาฮุยละเอียดลึกยิ่งขึ้น

หลังคำถาม “ท่านทราบความลับนี้ได้อย่างไร” จากฉั้งฉิก

หลังคำถามชวนฉงนเป็นอย่างยิ่งที่ว่า “อย่างนั้นสหายเยาว์วัยผู้นี้เป็นสุนัขหรืออย่างไรจึงถลึงมองปากของคู่ต่อสู้”

“หรือฉั้งฉิกเอี้ยดูไม่ออกว่าบนร่างของเขาสวมเสื้อเกราะใยทองอยู่

 

วันนี้ ข้าพเจ้าความจริงไม่คิดไปยังตึกน้อยหอมเย็น แต่ถึงยามค่ำคืนพลันฉุกคิดว่าลืมหยิบฉวยของสิ่งหนึ่ง

พอกลับถึงตึกน้อยหอมเย็นโจรดอกเหมยก็ปรากฏกายขึ้น

กล่าวตามความสัตย์ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้พบเห็นมัน เพียงรู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งมาถึงด้านหลังข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าก็หมุนตัวไป มันก็จี้สกัดจุดข้าพเจ้าไว้

ท่าร่างของมันคล้ายวิญญาณภูตพราย ข้าพเจ้าถูกมันหนีบร่างไว้ใต้ซอกแขน ถูกหนีบเหินละลิ่วไป ตอนนั้นข้าพเจ้าฉุกคิดว่ามันเป็นโจรดอกเหมย

จึงถามว่า ‘ท่านคิดจัดการกับข้าพเจ้าอย่างไร ไฉนไม่ฆ่าข้าพเจ้า’

มันไม่ได้กล่าวกระไรทั้งสิ้น เพียงหัวร่ออย่างเยือกเย็น ตอนนั้นข้าพเจ้าเพียงคิดตายให้สิ้นเรื่องราวแต่ตลอดทั้งร่างพานไร้เรี่ยวแรง

ยามนั้นข้าพเจ้าเห็นเงาคนถลันวูบปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า เป็นเขา

เขามารวดเร็วจริงๆ โจรดอกเหมยก็คล้ายใจหายวาบทิ้งข้าพเจ้าลงกับพื้น ข้าพเจ้าได้ยินเขากล่าวว่า ‘ท่านใช่เป็นโจรดอกเหมยหรือไม่’

และได้ยินโจรดอกเหมยกล่าวว่า

‘ใช่แล้วจะเป็นไร มิใช่จะเป็นไร จะอย่างไรท่านเป็นคนใกล้ตายแล้ว’

โจรดอกเหมยไม่ทันกล่าวจบพลันปรากฏประกายสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากปากมัน ข้าพเจ้าทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว

เห็นประกายสีดำล้วนพุ่งใส่กงจื้อท่านนี้

ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาต้องตายในเงื้อมมือโจรดอกเหมยเช่นเดียวกับผู้อื่น มิคาดเขาไม่มีเรื่องราวใด

จากนั้น ข้าพเจ้าเห็นประกายกระบี่วูบขึ้นแวบหนึ่ง โจรดอกเหมยพลันล้มลง

ความรวดเร็วของกระบี่นั้นสุดที่ข้าพเจ้าจะบ่งบอก บรรยายได้”