ยุบรวม-จับมือ-ผนึกกำลัง ทางรอดพรรคจิ๋ว พรรคใหม่ ปรับแก้ยุทธศาสตร์การเมือง รับมือบัตรสองใบ หาร 100/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

ยุบรวม-จับมือ-ผนึกกำลัง

ทางรอดพรรคจิ๋ว พรรคใหม่

ปรับแก้ยุทธศาสตร์การเมือง

รับมือบัตรสองใบ หาร 100

 

คมชัดมากขึ้นสำหรับกติกาเลือกตั้งใหม่ ปรับเปลี่ยนมาใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หาร 100

บวกสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในประเด็นวาระนายกฯ 8 ปี ทั้งหมดล้วนมีผลต่อการตัดสินใจและยุทธศาสตร์ของพรรคตั้งใหม่ พรรคเล็ก พรรคจิ๋ว

อย่างที่รู้กันว่า กติกาใหม่นี้ไม่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มพรรคเล็ก พรรคจิ๋ว ที่เคยได้ ส.ส.แบบปัดเศษ รวมไปถึงพรรคตั้งใหม่ที่หวังมาโกยเก้าอี้ ส.ส.

เมื่อกฎกติกาเปลี่ยนไป จึงเกิดปรากฏการณ์รวมตัวจับมือ ผนึกรวมทางการเมืองระหว่างพรรคตั้งใหม่กับพรรคเล็ก

เหตุผลปัจจัยหลักเพื่อเพิ่มโอกาสชิงเก้าอี้ ส.ส.ให้ได้มากที่สุดภายใต้กติกาใหม่

ดีลการเมืองระหว่างนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา เกิดขึ้นก็เพราะสิ่งนี้

ย้อนไปช่วงก่อตั้งพรรคกล้า กติกายังเป็นบัตรเลือกตั้งใบเดียว ซึ่งเป็นช่องทางสร้างโอกาสให้พรรคใหม่ได้เก้าอี้ ส.ส. ตามโมเดลเลือกตั้งปี 2562

แต่เมื่อแก้รัฐธรรมนูญพลิกกลับมาใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง กำหนดสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบบหาร 100 ส่งผลให้สถานการณ์เปลี่ยน

พรรคเล็กอยู่ยาก พรรคตั้งใหม่ที่กระแสไม่ดีจริง อาจต้องเจอความยากลำบาก อย่างผลเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขตหลักสี่-จตุจักร เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ครั้งนั้น นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครจากพรรคกล้า ที่มีตำแหน่งเป็นถึงเลขาธิการพรรค ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 3 พ่ายแพ้ผู้ชนะจากพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนอันดับสอง

การที่นายกรณ์ ลอยแพพรรคกล้า หันมาจับมือกับชาติพัฒนาของนายสุวัจน์ อาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม้จะโดนทัวร์ลงอยู่บ้างก็ตาม

ถึงกระนั้นในแง่บวก คือการผนวกรวมจุดแข็ง ความรอบรู้ด้านเศรษฐกิจของนายกรณ์ เข้ากับความเก๋าเกมการเมืองของนายสุวัจน์ โดยเฉพาะในพื้นที่นครราชสีมา

ทั้งสองฝ่ายสมประโยชน์ ปรับตัวเพื่ออยู่รอดทางการเมือง

ดีลการเมืองระหว่างกรณ์-สุวัจน์Žนั้น อดีตหัวหน้าพรรคกล้าระบุเป็นการตัดสินใจที่ง่ายมาก โดยเตรียมย้ายมาสังกัดพรรคชาติพัฒนา ไม่ใช่การควบรวม

ส่วนอนาคตพรรคกล้า ก็เป็นเรื่องของพรรคกล้าต้องพิจารณาจะทำอย่างไรต่อไป การตัดสินย้ายมาครั้งนี้ได้คุยกับพรรคพวกทุกคน ทั้งหมดเห็นตรงกัน

อย่างไรก็ตาม นายกรณ์ปฏิเสธ ยืนยันการมาร่วมงานกับพรรคชาติพัฒนา ไม่เกี่ยวกับสูตรคำนวณหาร 100

ด้านนายสุวัจน์เผยดีลนี้ไม่ใช่การรวมพรรค แต่เป็นการเชิญนายกรณ์มาร่วมงาน ส่วนจะมาอยู่ตำแหน่งใดนั้น ยังตอบไม่ได้ แต่ต้องมีบทบาทหน้าที่ทำให้เกิดความมั่นใจทางเศรษฐกิจ

ความเคลื่อนไหวของนายกรณ์และนายสุวัจน์ทำให้คอการเมืองเกิดความสงสัยว่า แล้วจะยังมีดีลอื่นตามมาอีกหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคตั้งใหม่อย่างพรรคสร้างอนาคตไทย ที่มีนายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

“เรามีบุคลากรที่มากกว่า ทำไมต้องไปรวมกับใครและคงไม่ไปแน่นอนŽ ในทางกลับกัน พรรคกล้าควรต้องมาหาเรามากกว่า ก่อนหน้านั้นตัวแทนพรรคกล้าเคยมาคุยกับเราแล้ว แต่เขามีเงื่อนไขเยอะในการทำงานร่วมกัน จึงไม่ลงตัว”Ž นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ปฏิเสธแข็งขันถึงแนวทางควบรวมพรรคอื่น

เช่นเดียวกับคุณหญิงสุดารัตน์ที่บอกว่า ไม่มีการพูดคุยกับนายกรณ์และนายสุวัจน์ในตอนนี้ ถึงการร่วมงานกันŽ

 

ความเคลื่อนไหวของอีกพรรคตั้งใหม่คือ พรรคสร้างอนาคตไทย ที่มีคนกลางเก่ากลางใหม่ทางการเมือง นายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค

จุดขายพรรคสร้างอนาคตไทย คือนโยบายด้านเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับพรรคกล้า และพรรคไทยสร้างไทย

ล่าสุด บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้งฯ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขอลาออกจากกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริษัท มีผลตั้งแต่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา

ซึ่งมีนัยยะผูกโยงกับพรรคสร้างอนาคตไทย

ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างนายสมคิด นายอุตตม และนายสนธิรัตน์ ผูกพันกันมาตั้งแต่ร่วมกันก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ รองรับอำนาจกลุ่ม 3 ป. นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

จนภายหลังแนวทางการทำงานไปด้วยกันไม่ได้ จึงโบกมือลาพลังประชารัฐ ตั้งพรรคใหม่ของตัวเอง

การลาออกของนายสมคิด จากประธานกรรมการบริษัทเอกชน สอดรับกับการจัดกิจกรรม #คิดสร้างอนาคตไทย เมื่อ 8 กันยายนที่ผ่านมา

วาระสำคัญของกิจกรรมและการประชุม คือการเปิดตัวนายสมคิด กลับสู่เส้นทางการเมืองอีกครั้ง ในตำแหน่งประธานพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตามที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้พักใหญ่

อย่างไรก็ตาม ในสายตานักวิเคราะห์การเมืองมองว่า จุดน่ากังวลของพรรคสร้างอนาคตไทยคือ การไร้นักการเมืองระดับแม่เหล็ก ที่จะดึงดูดคะแนนเสียงในพื้นที่เขตเลือกตั้ง

แม้อุตตม-สมคิดŽ จะเคยเป็นแกนนำพลังประชารัฐ ที่ประกาศผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นสู่ตำหน่งนายกฯ อีกสมัยได้สำเร็จ

แม้รอบนี้พรรคสร้างอนาคตไทยจะชูนายสมคิดเป็นแคนดิเดตนายกฯ โชว์จุดขายนโยบายเศรษฐกิจ

แต่หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งนายสมคิด นายอุตตม และนายสนธิรัตน์ มีตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ในรัฐบาลพลังประชารัฐยุคแรก ก็ไม่ถือว่ามีผลงานโดดเด่นเท่าใดนัก

รวมถึงแกนนำคนอื่นๆ ที่เข้าร่วม ส่วนใหญ่ไม่ใช่บุคลากรทางการเมืองระดับบิ๊กเนม

ทำให้การก้าวของพรรคสร้างอนาคตไทยสู่สนามเลือกตั้ง หวังโกย ส.ส.เป็นกอบเป็นกำ เป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก

 

อีกพรรคการเมืองใหม่ ไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรค

พรรคไทยสร้างไทยชิมลางสนามเลือกตั้งท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ด้วยการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) และส่งนายศิธา ทิวารี ลงชิงชัยเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ว่าฯ กทม.

ผลลัพธ์ยังไม่เข้าเป้าอย่างที่ตั้งใจ ได้รับเลือกตั้ง ส.ก.เพียง 2 ที่นั่ง จากทั้งหมด 50 ที่นั่ง 50 เขต

เช่นเดียวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นายศิธาได้คะแนนมาเป็นอันดับ 7 รั้งท้ายในกลุ่มผู้สมัครบิ๊กเนม

จาก 2 สนามเลือกตั้ง กทม. ของไทยสร้างไทย จึงเป็นเครื่องวัดกระแสความนิยม ก่อนก้าวลงสู่สนามเลือกตั้งใหญ่ ว่าพรรคจะต้องปรับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอย่างไรเพื่อชนะใจประชาชน

มีการวิเคราะห์กันว่า หมากการเมืองของพรรคไทยสร้างจะอาศัยชื่อเสียงคุณหญิงสุดารัตน์ ฉายาเจ้าแม่ กทม.Ž ในการนำพรรค มากกว่าให้พรรคนำ คำถามคือหากเป็นแบบนี้ต่อไป ในระยะยาว เลือกตั้งโรมรันพันตู คุณหญิงหน่อยŽคนเดียวจะแบกพรรคไหวหรือไม่

วิธีนี้ต่างจากพรรคเพื่อไทย ที่คุณหญิงสุดารัตน์เคยอยู่ พรรคเพื่อไทยจะใช้กระแสพรรค กับกระแสตัวบุคคล หนุนเสริมควบคู่กันไป

ยิ่งกฎกติกาเลือกตั้งที่เปลี่ยนไปใช้บัตรสองใบ สูตรหาร 100 จึงเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ

ต้องติดตามหลังการประชุมพรรคไทยสร้างไทย 9 กันยายน เพื่อปรับทีมกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

ผลักดันให้คุณหญิงสุดารัตน์ นั่งเป็นหัวหน้าพรรค โหมโรงเปิดทางเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่

 

พรรคฝ่ายอำนาจอีกพรรคที่ก่อรูปคือ รวมไทยสร้างชาติ ประกาศชื่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตแกนนำ กปปส. เป็นเลขาธิการพรรค

ท่ามกลางข้อครหาเป็นพรรคนั่งร้านสำรองให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ส่วนหนึ่งเพราะบทบาทนายพีระพันธุ์ยังมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

แม้จะพยายามชูนายพีระพันธุ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ท่าทีที่ผ่านมาของพรรครวมไทยสร้างชาติล้วนสัมพันธ์กับ พล.อ.ประยุทธ์แทบทั้งสิ้น

จึงเป็นเรื่องยากที่จะล้างภาพความสัมพันธ์ประยุทธ์-พีระพันธุ์Ž ซึ่งมีผลต่ออนาคตของพรรครวมไทยสร้างชาติ

เช่นเดียวกับบรรดาพรรคเล็กขนาดจิ๋ว ที่เคยได้ ส.ส.ปัดเศษ ต้องเจอกับกฎกติกาเลือกตั้งที่เปลี่ยนไปจากสูตรหาร 500 พลิกกลับมาเป็นหาร 100

เห็นได้จากการออกมาดิ้นหนีตายของ ส.ส.พรรคขนาดจิ๋ว นำโดย นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ที่พยายามรวบรวมรายชื่อ ส.ส.และ ส.ว.มาได้ถึง 106 รายชื่อ

ทั้งจาก ส.ส.กลุ่มพรรคเล็ก ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และ ส.ส.งูเห่าจากหลายพรรค

ยื่นคำร้องต่อนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาพิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตีความสูตรหาร 100 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

การออกมาขยับของพรรคเล็กพรรคจิ๋ว เป็นการสู้เพื่อความอยู่รอด เพราะมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะสูญพันธุ์ทางการเมือง ภายใต้กติกาบัตรเลือกตั้งสองใบ สูตรหาร 100

ขณะที่ ส.ส.พรรคเล็กพรรคจิ๋วอีกบางส่วน เลือกที่จะเข้าหาพรรคใหญ่อย่างพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน

เด่นชัดเมื่อครั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ เมื่อ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา

เมื่อปรากฏภาพ ส.ส.แกนนำพรรคเล็กพรรคจิ๋วไปรอต้อนรับ ไม่ว่านายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ กลุ่ม 16 พรรคพลังประชารัฐ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทรักธรรม นายสุรทิน พิจารณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ และนายดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย

นำมาสู่เสียงวิจารณ์ถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วม จับมือ ผนึกรวมกับพรรคพลังประชารัฐทำศึกเลือกตั้งรอบหน้า

เช่นเดียวกับข่าวลือว่าพรรคเศรษฐกิจไทยของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อาจจะหวนกลับมาทำงานกับพลังประชารัฐ แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันใดๆ

ทั้งหมดนี้คือผลสะเทือนจากบัตรเลือกตั้งสองใบ สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หาร 100 ทำให้พรรคตั้งใหม่ พรรคเล็ก พรรคจิ๋ว ต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงานกันขนานใหญ่

หากต้องการมีพื้นที่ในสภา หลังเลือกตั้งครั้งหน้า