ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม - 1 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ประสาคนโลกสวย
ไม่ว่าอะไรผ่านหน้ามาก็มโนเอาเองไปก่อนว่าจะเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ความสงบสันติได้ทั้งนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญหนที่ผ่านมา
ตอนที่เขาพูดกันหนาหูก่อนการลงคะแนนว่า โอกาสที่จะ “ไม่ผ่าน” มีมากกว่า “ผ่าน”
ใจก็ไพล่ไปคิดว่าก็ดีสิ
ถ้าไม่ผ่าน รัฐบาลหรือ คสช. จะได้หันหน้ากลับมาพูดจาภาษาเดียวกันกับชาวบ้าน
เผลอๆ อาจจะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ดีกว่า “เวอร์ชั่นมีชัย-บวรศักดิ์”
และเป็นต้นทางของการปรองดองที่แท้จริงได้
ก่อนจะรู้ว่านั่นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ เมื่อคะแนนประชามติปรากฏ
แต่ถึงขนาดนั้น ก็ยังตั้งความหวังเอาไว้อีกว่า
ในเมื่อชนะประชามติชนิด “ถล่มทลาย” (ตามคำบรรยายของบรรดากองเชียร์ทั้งหลาย) แล้ว
รัฐบาลหรือ คสช. (ซึ่งควรจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ผ่อนคลายลง เพราะรู้ว่ามีมวลมหาประชาชนอย่างน้อย 16 ล้านคนหนุนหลัง) น่าจะเลือกแนวทางปฏิบัติต่อผู้เห็นต่างด้วยความละมุนละม่อมมากขึ้น
เพราะเห็นชัดๆ อยู่แล้ว ว่าออกมาเย้วๆ ต่อต้านก็ทำอะไรรัฐบาลหรือ คสช. ไม่ได้
จะต้องไปไล่จับไล่ทุบให้เสียคะแนนเสียรังวัดทำไม
แต่พอเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงก็ชักไม่แน่ใจ
ประเภทจะจับหนุ่มสันกำแพงทำงานเชฟรอนในฐานะมือระเบิดหรือมือวางเพลิงให้ได้
จับมาขัง 7 วันแล้วปล่อยไปเพราะหาหลักฐานไม่ได้
ก่อนจะไปขอหมายจับซ้ำแล้วทั้งศาลพลเรือน-ศาลทหารไม่อนุมัติหมาย
หรือการเหวี่ยงแหจับ “สหายเก่า” ที่ยังเชื่อมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสม์ทั้ง 17 คน
ไปจนกระทั่งถึงการลากๆ ถูๆ กรณีคุมขัง “ไผ่ ดาวดิน” และอื่นๆ
ที่กว่าจะให้ทั้งหมดประกันตัวได้ ก็แทบไม่มีความหมายต่อความรู้สึกแล้ว
ชวนให้คิดว่าวันนี้ รัฐบาล-คสช.
1. มั่นใจในตัวเองแบบทะลุเพดานไปแล้ว เชื่อว่าทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น
หรือ
2. กลัว
กลัวความเปลี่ยนแปลงที่จับได้เค้าๆ เลาๆ
กลัวเพราะรู้สึกได้ถึงความไม่หนาแน่นเป็นแผ่นพื้นในหมู่คณะอย่างที่เคยเป็นมา
หรือกลัวว่าจะมีสิ่งนอกการควบคุมปรากฏ
แต่นาทีนี้สาเหตุยังไม่สำคัญเท่ากับผลที่ตามมา
ว่าแนวทางสายเหยี่ยว (มากขึ้น) นี้จะนำไปสู่สถานการณ์อะไร
เพราะในขณะที่กลไกด้านความมั่นคงทำงานเต็มเหนี่ยวนั้น
ในอีกด้านหนึ่งกลไกด้านอื่นๆ ในระบบบริหารและการจัดการงบประมาณของรัฐก็แสดงความพิกลพิการให้เห็นอยู่เป็นระยะ
ตัวอย่างประเภท อปท. มีสตางค์ และพร้อมจ่าย
แต่เอาเงินไปช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนอาหารกลางวันไม่ได้
มีที่อุตรดิตถ์แห่งเดียวหรือ?
หรือ อบจ. เอาเงินไปช่วยปรับปรุงโรงพยาบาลท้องถิ่น
เพื่อให้รับคนไข้ได้มากขึ้น และจะได้เข้าข่ายได้รับเงินช่วยจาก สปสช. (ก็เพื่อให้บริการประชาชนดีขึ้น)
กลายเป็นนายก อบจ. ถูกตั้งข้อหา-ถูกพักงาน
และจะด้วยสาเหตุข้างต้นหรือไม่-ไม่แจ้ง
แต่ไม่กี่วันต่อมา ท่านเสียชีวิตโดยไม่ได้มีโอกาสแก้ข้อกล่าวหา
ตัวอย่างของยุคที่ข้ออ้างเรื่อง “ปราบโกง” (โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่ใช่ “พวกกู”) ระบาด
เพราะถูกจริต “ผู้ดี” (หรือคนอยากเป็นผู้ดี) และผู้มีอำนาจ
อีกด้านหนึ่งก็ให้กลไกปกติง่อยเปลี้ยเสียขา
จริงอยู่ว่า โกงหรือทุจริตต้องป้องกันหรือปราบปราม
แต่ต้องถูกเรื่อง ถูกขั้นตอน
ถ้าหน่วยงานตรวจสอบที่เกาะแข้งเกาะขาผู้มีอำนาจ กลายเป็นองค์กรเสียงดัง-ได้พูดก่อน
ทั้งที่ควรจะเป็นคนพูดหลังสุด หรือทำงานปิดทองหลังพระไปตามหน้าที่ความรับผิดชอบ
คนปกติที่ไหนอยากจะเอาคอไปขึ้นตะแลงแกง
เมื่ออะไรต่อมิอะไรกลับหัวกลับหาง เพราะความระแวงต่อกันรุนแรง
นักเรียนหิวโหยก็รับเคราะห์ไป
คนป่วยที่เป็นคนจนก็รับเคราะห์ไป
ที่เคยโลกสวย หรือเคลิ้มๆ อยู่กับคำหรูประเภท “ขับเคลื่อน” หรืออะไรของใครบางคนบางกลุ่ม
ก็เหมือนถูกปลุกให้ลืมตาขึ้นมา
แต่ยังเผลอนึกว่าฝันร้ายอยู่