ลากะป่อ / ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : กมุ หอมภูผกา

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด

กมุ หอมภูผกา

 

ลากะป่อ

 

1.

นักแสดงหนุ่มสาวในชุดปก่าเก่อญอยืนเป็นวงกลม ในมือกำเชือกคนละเส้น ปลายเชือกของทุกคนรวบมัดเป็นเส้นเดียวผูกไว้บนราวไม้ไผ่สูง มีเสาค้ำสองต้น ตั้งอยู่ด้านซ้ายและขวาของเวที ข้างเวทีมีนักร้องและนักดนตรีในชุดปก่าเก่อญอขับร้องและบรรเลงเพลงประกอบ นักแสดงซอยเท้าขยับเป็นวงกลมตามจังหวะเพลง เชือกในมือของแต่ละคนค่อยๆ พันเป็นเกลียวกลายเป็นเส้นใหญ่เส้นเดียว เนื้อเพลงร้องวนซ้ำไปมา

“พี่น้องผองเราย่อมเป็นหนึ่งเดียว ด้วยเลือดเนื้อแห่งปก่าเก่อญอผู้รักสันติ

ไม่มีเขตแดนแบ่งกั้น เมื่อเลือดที่ไหลเวียนในเราคือปก่าเก่อญอ”

ลากะป่อเห็นการแสดงชุดนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว จนจดจำเนื้อเพลงและจังหวะการแสดงได้ทั้งหมด มันไม่เหลืออะไรให้สนใจอีก แต่งานปีใหม่ปก่าเก่อญอทุกๆ ปี ผู้จัดจะต้องนำการแสดงชุดนี้มาแสดงแก่นักท่องเที่ยว และผู้ชมต่างก็สรรหาถ้อยคำชื่นชมมันได้ทุกๆ ปี ช่างงดงามจับใจอย่างนั้นอย่างนี้ หรือช่างเป็นการแสดงที่สอดแทรกปรัชญาชีวิตของชาวปก่าเก่อญอไว้ได้อย่างลึกซึ้งกินใจ

เธองดเที่ยวงานปีใหม่ปก่าเก่อญอหลายปี ไม่อยากออกไปไหน ปีนี้งานจัดยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน ร้านค้าเรียงแถวยาวสองข้างถนน มีร้านขายของที่ระลึก ขายจำพวกเครื่องแต่งกายปก่าเก่อญอ เครื่องจักสาน พวกกระด้ง กระบุง และตะกร้า ผู้คนในชุดปก่าเก่อญอเบียดกันแน่นไปหมด หน้าเวทีมีคนมาปูเสื่ออยู่ทั่ว ผู้คนส่วนหนึ่งมาเพราะอยากดูอนันต์ ไมค์ทองคำ ศิลปินสายเลือดปก่าเก่อญอที่คนทั่วประเทศรู้จัก ค่ำคืนนี้เขาจะมาร้องเพลงให้ปก่าเก่อญอทุกคนฟัง

รอบเวทีสะพรั่งด้วยไฟหลากสี ซุ้มแสดงนิทรรศการแต่ละหมู่บ้านเรียงยาวอยู่สองฟาก ตามด้วยแผงขายของเล่น เครื่องประดับ เสื้อผ้าแฟชั่น อาหาร เครื่องเล่นอยู่ห่างออกไป ปาโป่ง ยิงหนังสติ๊ก โยนห่วง ลูกชายวัยสามขวบเพิ่งได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ นั่งกับตักแม่หน้าเวที เหลียวมองรอบตัวไม่อยู่นิ่ง ชี้นิ้วถามพี่สาวที่นั่งอยู่ด้วยกันไม่หยุด มองสไลเดอร์เป่าลมยักษ์ที่มีเด็กๆไถลตัวลงมาจากที่สูง “อะไรหนะ คืออะไร?”

“สไลเดอร์” พี่สาวก็ตื่นเต้น

น้องชายอยากไถลตัวลงมาบ้าง เงยหน้าหาแม่ “แม่ แม่ ไปขึ้นสไลเดอร์กันไหม?”

“ไม่ไปหรอก ดูเขาแสดงกันบนเวทีโน่น” ลากะป่อตัดบท

แต่แสงไฟสลับสีวิบวับบนสไลเดอร์เป่าลมชวนมอง เห็นเขาทิ้งตัวลงลานลาดชันไกลๆ เร้าความสนใจให้เข้าไปหา สบตากับพี่สาวแล้วเงยหน้าขอแม่อีกครั้ง

“แม่ ฉันอยากขึ้นสไลเดอร์มั่งจัง”

“แกจะไปทำไม บนเวทีหนะเขาก็แสดงอะไรกันเยอะแยะทำไมแกไม่ดู”

“ก็หนูอยากขึ้นมั่ง” เสียงลูกชายสั่นเครือ

“หยุดเลย หยุดเลย อย่าดื้อ ถ้าพูดไม่ฟังต่อไปจะไม่พามาแล้วนะ” ลากะป่อยื่นคำขาด

ลูกชายก้มหน้างุด ค่อยๆ เบ้ปาก น้ำตาค่อยๆ รื้นขึ้นท่วมดวงตา ก่อนจะร้องไห้ลั่นออกมา ลากะป่อร้องสั่ง “หยุดเลยนะ” ยกฝ่ามือเหนือใบหน้าลูก “ถ้าไม่หยุดจะตีเดี๋ยวนี้แหละ” คนนั่งรอบๆ หันมองเธอเป็นตาเดียว

“ลูกอยากไปก็พาไปสิ อนันต์ยังไม่ขึ้นหรอกตอนนี้” บ๊ะตะเกาะโมนั่งอยู่ใกล้ๆ บอกเธอ

“มันจะให้กูได้นั่งสบายๆ มั่งก็ไม่มีหรอก” ลากะป่อบ่น อุ้มลูกชายกระเตง หันไปหาลูกผู้หญิง “แกจะไปไหม?” ลูกสาวพยักหน้าหงึกๆ “ถ้าจะดื้ออย่างนี้ก็ไปอยู่กับพ่อโน่น ไปดูมวยกะพ่อมึงให้หมด ไม่เคยจะดูลูกดูเต้าหรอกพ่อมึง”

 

2.

ยืนมองลูกไถลตัวลงมาด้วยความเป็นห่วง แต่เด็กๆไม่กลัวอะไร หัวเราะอย่างมีความสุข บางครั้งม้วนกลิ้งลงมา กระโดดเด้งขึ้นลงบนพื้นนุ่มๆ ก่อนทิ้งตัวลงมาอีก ถึงด้านล่างก็ขึ้นไปใหม่ ไม่รู้จักเหนื่อยรู้จักเบื่อ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กๆ จึงชอบของเล่นน่าหวาดเสียวนี้ เมื่ออยู่กันเองตามลำพัง พวกเด็กๆ ดูอิสระ สนุกเต็มที่ ข้างในนั้นเป็นพื้นที่ของเด็กๆ ที่เธอมองเข้าไปแล้วไม่เข้าใจ

ขยับห่างออกมาจากเสียงเพลงอึกทึกของสไลเดอร์เป่าลม หันไปทางเวที เสียงพิธีกรย้ำกับผู้ชมว่าอีกไม่นานเกินคอย อนันต์ ไมค์ทองคำ ที่รักของพี่น้องจะขึ้นเวที แม้คืนนี้พระจันทร์จะเต็มดวง แต่อนันต์ ไมค์ทองคำ จะนำเพลง พระจันทร์ไม่เต็มดวง* มาร้องให้พี่น้องได้ฟังแน่นอน โปรดอดใจอีกสักนิด

พี่น้องปก่าเก่อญอที่รัก ก่อนจะพบกับอนันต์ ไมค์ทองคำ เรามีนักร้องหนุ่มจากแดนไกลท่านหนึ่ง เขาอยากจะร้องเพลงสักเพลงในค่ำคืนนี้ เขาบอกกับผมว่า เขารักเสียงเพลง รักตะน่า* และมันเดินทางไปไหนกับเขาด้วยตลอด เวลามีความรักเขาจะหยิบตะน่าขึ้นมาบรรเลง และเวลาเสียน้ำตาให้กับความรักก็จะมีบทเพลงและเสียงตะน่าเป็นเครื่งปลอบประโลมใจ พี่น้องที่รักทั้งหลายครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา…

เสียงปรบมือเปาะแปะๆ ลากะป่อไม่เคยได้ยินชื่อนักร้องคนนี้มาก่อน เห็นเขาถือตะน่ามานั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ ปรับขาไมค์ให้ตรงตำแหน่ง เริ่มต้นบรรเลงตะน่าโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เสียงตะน่าดังกรูนา…กรูนา…กรูนา… เป็นทำนองลำนำดั้งเดิม

“…เหล่ เหล่ เล เล เล เล

กว้า เทาะ ลา โมะ สะ ทิ หน่า

โอ้ เต่อ เซ โช เต่อ เซ บ่า

โมะ สะ แหล่ โอ้ หน่า เกาะ มึ ฮา

ทิ บ๊ะ หน่า โอ๊ะ มึ โด๊ะ มะ…”

“ลำนำบทนั้น พ่อหนุ่มตะน่าของฉัน” ลากะป่อพึมพำ

ก่อนเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วได้หวนกลับมาให้ระลึกถึง หลายปีก่อนการเก็บข้าวโพดไม่สะดวกสบายอย่างทุกวันนี้ เมื่อหักฝักข้าวโพดเสร็จต้องขนไปกองไว้ในกระต๊อบ กลางวันต้องหักและขนย้ายไม่ได้พัก กลางคืนพวกหนุ่มๆ สาวๆ ต้องนั่งแกะเปลือกข้าวโพดเอาแรงกันไม่ได้หยุดหย่อน เพราะรถโม่เมื่อก่อนไม่สามารถโม่ได้ทั้งเปลือก กว่าจะได้นอนก็ดึก

คืนหนึ่ง ขณะง่วนกับข้าวโพดกองพะเนินตรงหน้า เขาปลดสายสะพายตะน่าที่แขวนไว้กับฝากระต๊อบออก ทุกคนรู้ว่าเขาจะขับร้องบทลำนำให้ฟังอีกแล้ว จึงเงยหน้าจากงาน รอฟังมันด้วยความยินดี เขาใช้นิ้วเกี่ยวสายตะน่าขึ้นลง นิ้วพลิ้วไหวเหมือนใบไผ่ต้องลมอ่อน เสียงดัง…กรูนา…กรูนา….กรูนา…ประสานเสียงแมลงกลางคืนนอกกระต๊อบ

“…แหงนมองจันทร์ชวนคะนึงหา

ฉันไม่อาจข่มใจให้อยู่เป็นสุข

เรียกร้องแต่จะไปหาเธอ

จนเมื่อได้พบเธอแล้ว ฉันเป็นสุขเหลือเกิน…”

“เธอชอบบทลำนำที่ฉันร้องบ้างไหม?” เขามองหน้าพูดกับเธอหลังร้องจบ

ทุกคนหันมองลากะป่อเป็นตาเดียว ส่งเสียง ฮิ้ว! ขึ้นพร้อมกัน เธอรู้สึกอายจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จึงถลึงตาแก้เขิน ทั้งที่ก็ประทับใจบทลำนำของเขา

จากคืนนั้น เธอมักจะถูกเย้าแหย่จากเพื่อนๆ ในวงข้าวโพดให้หน้าแดงเสมอ หลังๆ มานี้เธอแก้เขินด้วยการปาข้าวโพดใส่คนที่ล้อเรื่องเธอกับเขา ทำให้คนหยุดล้อบ้างเหมือนกัน เธอคอยก้มหน้าต่ำ เมื่อเงยหน้าสายตาประสานกับเขาเธอจะรีบก้มหน้าหนี เพื่อนๆ เห็นก็พร้อมใจกันส่งเสียง ฮิ้ว! หัวเราะชอบใจ เธอจึงหยิบข้าวโพดตะลุยปาไปทุกที่ที่มีเสียงหัวเราะอีกครั้ง เรื่องราวเหล่านั้นทำให้จิตใจของเธอร้อนรุ่มกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็น เมื่ออยู่ตามลำพัง เธอจะคิดถึงเขา คิดถึงบทลำนำของเขา เสียงร้องและตะน่า คิดแล้วมีความสุข เป็นความสุขที่แปลกใหม่ เธอไม่เคยมีมาก่อน

ต่อมาเขานัดพบกับเธอบ้างลับๆ ในมุมมืดในคืนแสงจันทร์สุกกระจ่าง ในลมหนาว การได้อยู่ใกล้เขาคือผ้าห่มผืนหนาให้ความอบอุ่น เธอรู้สึกผิดต่อการกระทำนี้ แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกโหยหาและจะต้องหาวิธีออกมาพบเขาเสมอ เขาเป็นผู้ชายที่ดี ไม่เคยแตะต้องเนื้อตัวเธอให้ด่างพร้อยเลยสักครั้ง

มันเป็นทั้งความสุขและความทุกข์ในเวลาเดียวกัน

หากมีใครมาพบ เธอจะกลายเป็นคนตาบอดเลือกคนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นคนรัก นี่เป็นสิ่งที่เธอเป็นกังวลตลอดเวลา คิดไม่ตก ไม่เห็นทางแก้ ทำได้เพียงคว้าจับความสุขที่มีอยู่เฉพาะหน้าไว้ เพื่อหล่อเลี้ยงอารมณ์ความรู้สึกที่เพรียกหาเขาอยู่ทุกลมหายใจ

เขาเล่าถึงบ้านเกิดของตัวเอง ความยากจนแร้นแค้น เพราะภัยจากสงครามการแย่งชิงแผ่นดินเกิด เสียงปืนและหลุมหลบภัย คนพิการ เด็กกำพร้าพ่อแม่ เสียงร้องขอชีวิต เสียงร้องไห้ของเด็กๆ ไม่มีใครรู้เลยว่าเสียงปืนจะสงบลงตอนไหน สงครามจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครอยากมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินที่มีแต่สงคราม เขาเล่าถึงพ่อ ชายชาติทหารที่พลีกายกลางสนามรบ ทิ้งเมียและลูกไว้บนกองเพลิง ไม่มีใครรู้เขารบกันไปเพื่ออะไร และไม่มีใครอยากอยู่บนแผ่นดินที่มีแต่ความยากจนแร้นแค้นเพราะสงคราม

เธอได้แต่นิ่งฟัง ไม่รู้จะพูดปลอบว่าอย่างไร ได้แต่คิดว่าเพียงสายแม่น้ำเมยคั่นก็ได้แยกแผ่นดินออกเป็นสองฝั่งที่แตกต่างกันลิบลับเกินจินตนาการ เขาพูดว่าถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะอยู่ที่นี่ ไม่อยากไปไหน แล้วหันมองเธออย่างขอคำตอบ

เธอจ้องหน้าตอบเขา แต่นิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร

เธอถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักทันทีที่ครอบครัวรับรู้ความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างเขากับเธอ ครอบครัวเลือกผู้ชายต่างหมู่บ้านที่พ่อแม่ของเธอและพ่อแม่ของคู่แต่งงานรู้จักชอบพอกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า เก็บเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับไอ้คนต่างด้าวที่ไม่เคยรู้จักโคตรเหง้า ลูกจ้างที่ไม่รู้จักเจียมตัวภายในบ้านไม่ให้ใครล่วงรู้ เก็บข่มอารมณ์โกรธไอ้ลูกสารเลวที่ดวงตามันมืดบอดจะเอาสายเลือดของพวกต่างด้าวไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาปอกลอกภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มในวันพิธีแต่งงาน และลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่ผลักดันทุกอย่างผ่านพ้นมาอย่างราบรื่น

ญาติๆ คอยปลอบใจ ให้เชื่อมั่นในสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้ อย่างไรมันจะนำพาให้เธอพบพานแต่สิ่งดีงาม เธอจึงไม่มีสิทธิ์ร้องขออะไร มากกว่านั้นเธอยังเป็นหนี้บุญคุณทุกคนที่ทำให้เธอได้มีวันนี้ เธอจึงก้มลงกราบแทบเท้าของพ่อและแม่ เริ่มต้นใช้ชีวิตครอบครับกับผู้ชายอีกคนที่ไม่ได้รัก

แต่วันหนึ่งเธอจะรักเขาขึ้นมาเอง

สิ้นฤดูเก็บเกี่ยว เขาเดินทางออกจากหมู่บ้านเงียบๆ เธอและเขาไม่อยู่ในสถานะที่จะล่ำลากันได้อีก ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้นฟื้นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างจบลงไปแล้ว และสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติอย่างที่มันควรจะเป็น

 

3.

ลากะป่อเงยหน้าขึ้นหาดวงจันทร์ ยังคงงดงามเหมือนคืนก่อน นานแค่ไหนดวงจันทร์ก็มีเพียงดวงเดียว น้ำอุ่นๆ เอ่อขึ้นมาท่วมรอบดวงตาและไหลลงอาบแก้ม ดวงจันทร์เลือนพร่า แต่รอยยิ้มในคืนนั้นกลับชัดเจน ยิ้มของความรักและเข้าใจ เธอรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา คิดว่าผู้หญิงดีๆ ที่ไหนคิดถึงชายอื่น ทั้งที่ตัวเองมีลูกมีผัวแล้ว ถ้าใครล่วงรู้ว่าเธอกำลังคิดถึงคนรักเก่าจะยิ่งน่าเกลียดเท่าไหร่ “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะคิดถึงเธอเลยสักนิด ฉันเพียงแต่คิดถึงเธอเท่านั้นเอง ความคิดถึงไม่ผิดอะไร ความคิดถึงไม่ทำให้ใครเสียหาย ความคิดถึงเป็นของฉันคนเดียว” ลากะป่อสะอื้น

เธอหลุดจากความคิดเมื่อลูกจับแขนเขย่า รีบปาดเช็ดน้ำตา

“อะไรกันมาเขย่าแขนแม่ทำไม”

“แม่เป็นอะไร เรียกตั้งนานก็ไม่ได้ยิน”

“แล้วมีอะไร”

ลูกๆ ส่งสายตาอ้อนวอนมาที่เธอ ลูกชายเอ่ยขึ้นเบาๆ

“เราอยากจะเล่นอีกรอบครับแม่ นะแม่นะ”

เธอจ้องมองไปที่ใบหน้าของลูกทั้งสอง แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ส่งแววอ้อนวอนร้องขออย่างน่าเวทนา เธอเบือนหน้าหนีแววตาเหล่านั้นเพื่อกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลออกมาให้ลูกๆ เห็น ปล่อยเด็กๆ ได้เล่นตามประสาบ้าง เธอคิด แล้วค้นเหรียญในย่ามออกมายื่นให้ลูกโดยไม่พูดอะไร

เธอมองตามหลังเด็กๆ ที่วิ่งเข้าหาสไลเดอร์เป่าลมด้วยความรักและเข้าใจ •

 

หมายเหตุ

ลากะป่อ : ภาษาปก่าเก่อญอ หมายถึง จันทร์ฉาย

ตะน่า : เครื่องดนตรีปก่าเก่อญอ

พระจันทร์ไม่เต็มดวง : เพลงของ อนันต์ ไมค์ทองคำ