ทราย เจริญปุระ : โรคหูหนวกตาบอดกับสิ่งที่รัก

"วันหนึ่งความทรงจำจะทำให้คุณแตกสลาย" เขียนโดย จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม กันยายน, 2560

บ้านเงียบมาก

จริงๆ มันก็เงียบมานานแล้วตั้งแต่พ่อตาย

แม่ย้ายลงไปนอนข้างล่าง

ฉันรู้นะ ฉันรู้

ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในห้องที่แม่เจาะทะลุกัน กรอบกระจกยาวจรดพื้นมองเห็นสวน

ฉันรู้แต่ฉันไม่อยากใส่ใจ

ใจกว้างหน่อยสิ

ดีแค่ไหนแล้วที่แม่จะได้มีคนดูแล

เสียงพูดคุยงึมงำกับเสียงหัวเราะที่ดังแว่วลอดผนังหนาและไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเป็นเสียงของใครอีกคน

คนที่ฉันไม่รู้จักเลย

พอพ่อจากไปเราต่างก็รู้สึกว่างเปล่า

อยู่กันไปแบบฉาบฉวย

ปิดซ่อนเรื่องราวเอาไว้ข้างใน

พร้อมๆ กับเรียนรู้ว่าความรักไม่อาจรั้งใครกลับจากความตาย

 

“พี่เคยเป็นโรคนี้ มันไม่ได้ทำให้พี่เดือดร้อนอะไร ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย พี่เลยคิดว่าไม่ต้องรักษาก็ได้ แต่วันหนึ่ง พี่ก็ได้รู้ว่า เราจะอยู่กับโรคนี้ต่อไปไม่ได้ เราต้องหาย ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อคนอื่น…เพื่อเราจะได้ปฏิบัติต่อคนที่เรารักได้อย่างที่มนุษย์ควรจะทำ”*

กี่ครั้งแล้วนะที่ฉันกระหายต่อการเป็นที่รัก

ฉันเหนื่อยกับการพิสูจน์ตัวตน แต่ก็ยังอยากเป็นคนพิเศษอย่างแยบยล อยากเป็นคนที่ถูกเลือก เป็นคนสำคัญด้วยท่าทีสบายๆ คล้ายไม่ใส่ใจ อยากเอามือทาบอกแล้วพูดเสียงสูงว่า-อะไรกัน นี่ก็ธรรมดานะ-

แต่ก็ไม่มีหรอก

ฉันตั้งโจทย์ผิดเสมอมา

ดังนั้น คำตอบจึงไม่ใช่ฉัน

ดังนั้น จึงเป็นฉันที่ยืนรดน้ำต้นไม้เหี่ยวแห้งนอกระเบียงกลางแดดจ้า หวังว่ามันจะผลิดอกงอกงามทันเขากลับมาเห็น

ดังนั้น จึงเป็นฉันที่ลืมตาตื่นกลางดึก มาฟังเรื่องตลกของคนเมาเรื่องเดิมเป็นรอบที่ร้อย และบอกตัวเองว่านี่คือช่วงเวลาดีๆ

 

“คุณป่วยเป็นโรคหูหนวกตาบอดกับสิ่งที่รัก…คนเดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะนะครับ คุณเป็นรายที่แปดแล้วสำหรับสัปดาห์นี้ อาการของโรคนี้คือทำให้ประสาทสัมผัสของคุณไม่สามารถรับรู้เกี่ยวกับคนที่คุณรักได้ คุณจะมองคนรักไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงของเขาไม่รู้ว่าถูกแตะต้องตัวอยู่ โรคนี้พัฒนามาจากลักษณะอย่างหนึ่งของมนุษย์ มนุษย์มักจะละเลยคนที่ตัวเองรัก จัดความสำคัญของครอบครัวและเพื่อนที่ดีที่สุดไว้ท้ายสุดสร้างความประทับใจให้คนที่เพิ่งรู้จักก่อน คนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการหนักกว่านั้น คือเปลี่ยนจากแค่ไม่สนใจ ไปจนถึงขั้นมองข้าม และในที่สุดก็มองไม่เห็นเลย”*

-มีแต่ความเจ็บปวดเท่านั้นแหละที่คงอยู่-

นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดตอนอ้วกออกมาจนหมดเนื้อตัว หนาวสั่นชื้นเหงื่อ รูดไถลลงไปบนพื้นห้องน้ำสาธารณะที่แสนสกปรก มือกำสายกระเป๋าไว้แน่นเหมือนเป็นเครื่องช่วยชีวิต

ฉันแนบหน้าลงบนกระดำกระด่างของฝารองชักโครก รอยขีดข่วนหยาบๆ กดลงบนผิวเนื้อ – สกปรก – ฉันคิดในใจ ตามองลอดใต้ประตูเห็นรองเท้าหลากแบบหลายคู่เดินไปมา รอทำธุระส่วนตัว

ฉันคาดหวังอะไรนักหนากับชีวิต

ฉันคาดหวังอะไรกับการพาตัวเองมาตรงนี้

ทุลักทุเลและโดดเดี่ยว มีเพียงเรานั่งพิงลูกกรงเป็นซี่ๆ เบื้องหน้ามีขวดเบียร์ ร้อนแสนร้อน และดูไม่สำคัญอะไร

ทุกคนมีหน้าที่ยกเว้นฉัน ที่มาเพียงเพื่อเป็นไม้ประดับเสริมบารมี เป็นคนที่ลนลานมาหา อยากมาสร้างช่วงเวลาแห่งความทรงจำ เป็นคนที่ให้ของขวัญวันเกิดก่อนใคร เป็นคนที่กำของขวัญมาให้เขา ราคาเหยียบหมื่นนั้นน่าจะสร้างความประทับใจให้ผู้รับบ้างสิ

แต่ก็ไม่

มีเพียงเสียงแสดงความเห็นว่ามันน่าจะเป็นอีกอย่างที่ต้องการมากกว่า

 

ห้องน้ำนั้นอยู่ไม่ไกลสำหรับคนปกติ แต่ทันทีที่มีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือด ระยะทางจะยืดยาวขึ้นเหมือนไม่รู้จักจบสิ้น กลุ่มผู้หญิงรวมตัวกัน เดินหาซอกหลืบมืดลับเป็นเงาตะคุ่ม ทรุดตัวนั่งยองปลดปล่อยระหว่างส่งเสียงถามไถ่ว่าคืนนี้จะไปไหนกันต่อ

มันต้องสำคัญขนาดไหนนะ ถึงทำให้ผู้หญิงสิ้นอายกับการมาปลดทุกข์ลับล่อข้างถนน กางเกงในลูกไม้ฝรั่งเศสไม่ได้ถูกผลิตมาเพื่ออะไรอย่างนี้ และรองเท้าก็ไม่คุ้นกับการเหยียบบี้แมลงสาบที่ไต่ผ่านขึ้นมาบนขา

วันนี้ฉันมาห้องน้ำทัน และอ้วกออกจนหมดไส้พุงทั้งที่ยังไม่เมา มีคนหิ้วปีกฉันมาถึงห้องน้ำนี้ รองเท้าผ้าใบขยับอย่างกระสับกระส่ายพร้อมข้อนิ้วรัวบนประตู

พี่ไหวมั้ย

ฉันอยากหัวเราะแต่ก็ทำไม่ได้

ไหวมั้ย

ไม่ไหวหรอก

ชีวิตมนุษย์ผู้อยากได้ความรักสักครั้ง ไม่สมควรถูกย่ำยีจนตกต่ำเช่นนี้

                     ฉันกลายเป็นหนึ่งเดียวกับที่ปลดทุกข์แสนสกปรกนั่น

————————————————————————–
*ข้อความจากเรื่องสั้น “ล่องหน” ในหนังสือ