2 ป.ประลองกำลัง/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

2 ป.ประลองกำลัง

 

ถ้าวัดขนาดของหัวใจ ใครๆ ที่รู้จักสอง ป-ประวิตร กับ ป-ประยุทธ์ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “คนละเบอร์”

ประวิตรเกิดในครอบครัวทหาร เป็นพี่ใหญ่ของน้องชาย 4 คน ได้แก่ พล.ต.อ.พัชรวาท พล.ร.อ.ศิษฐวัชร นายพงษ์พันธุ์ และนายพันธุ์พงษ์ วงษ์สุวรรณ

“ป-ประวิตร” เป็นทหารที่เติบโตในกองทัพภาคที่ 1 สังกัดกรมทหารราบ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) หรือทหารเสือพระราชินี เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและพี่ใหญ่ใจกว้างจนเป็นที่รักของลูกน้อง มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบแน่นเป็นพิเศษกับอีก 2 ป.

น่าสนใจตรงที่ทั้ง ป-ประวิตร ป-ป๊อก อนุพงษ์ และ ป-ประยุทธ์ สามารถทะยานขึ้นนั่งเก้าอี้ “ผบ.ทบ.” ได้ครบทั้งสามจนทำให้กองทัพบกตกอยู่ภายใต้เครือข่ายของ ” 3 ป.” ยาวนาน

และแล้วเหมือนแม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน

นักการเมืองสิ้นคิดกลุ่มหนึ่งทะลึ่งวางแผนหมายจะหยิบยืมมือ “ทหาร” ทำลายคู่แข่งทางการเมือง

ช่วยกันสร้างสถานการณ์ขึ้นมา เริ่มตั้งแต่ปฏิเสธกติกา ฝ่าฝืนกฎหมาย ชักชวนผู้คนทำลายการเลือกตั้ง ทำลาย “หลักการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ” ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องเป็นไปโดยสันติ ปลุกปั่นยุยงผู้คน

จุดชนวนปูทางให้ “นายทหารผู้ทะเยอทะยาน” ใช้กำลังพลรบและอาวุธของกองทัพเข้าก่อรัฐประหาร

 

ทหารฉีกรัฐธรรมนูญ โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ความจริงแล้วเป็นความผิดที่ฉกาจฉกรรจ์นัก!

ในทางสากล การที่กองทัพใช้กำลังทหารเข้าล้มล้างรัฐบาลอย่างฉับพลันนั้นผิดกฎหมายร้ายแรงและน่ารังเกียจ ไม่มีประเทศใดในโลกรับได้ ถึงแม้ประเทศจะปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ “พรรคก็ต้องนำกองทัพ”

การใช้อาวุธปืนเข้าบังคับช่วงชิงอำนาจการปกครองจากพลเรือนเป็นความป่าเถื่อนอย่างสมบูรณ์ในทุกระบอบการปกครอง!

ดังนั้น เมื่อมีการอภิปรายในสภา “ป-ประวิตร” ผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศกว่าจึงต้องรีบชี้นิ้วไปที่ “ป-ประยุทธ์” พร้อมกับประกาศกลางสภาว่า “การปฏิวัติรัฐประหารเป็นเรื่องของท่านนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว”

คล้ายสนทนาฮาเฮที่เอาเรื่องจริงมาพูดเล่น

แต่เป็นการฆ่ากันทางการเมือง!

“ป-ประยุทธ์” คิดตามไม่ทัน ได้แต่แสดงท่วงท่าชวนหัวกลายเป็นตัวตลกในสภา

การก่อรัฐประหารไม่ใช่วีรกรรมของวีรบุรุษ

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา “กฎหมายอาญา” ถือว่าการก่อรัฐประหารเป็น “ความชั่ว” ขั้นสูงสุด หนักยิ่งกว่าการลักวิ่งชิงปล้นทรัพย์ที่ความเสียหายจำกัดวงอยู่แค่ “ทรัพย์สิน” ของบุคคล

รัฐประหารเป็นการปล้นอำนาจอธิปไตย ทำลายทุกกลไกทุกระบบในสังคม!

มาตรา 113 ประมวลกฎหมายอาญา จึงบัญญัติว่า ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างรัฐบาล เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ แบ่งแยกราชอาณาจักร ยึดอำนาจการปกครองในส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นกระทำผิดฐานกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต

ก่อนจะรัฐประหารสำเร็จ “ป-ประยุทธ์” ก็ไม่ได้สบายใจนัก ถ้าไม่มี “ทัพหลัง” กับหน่วยส่งกำลังบำรุงที่เข้มแข็ง ไม่แน่ว่าจะกล้าลงมือ

จึงเป็นธรรมดาที่เมื่อรัฐประหารสำเร็จในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก็จะต้องมี “2 ป.” ผู้พี่ทั้ง “ป-ป้อม” และ “ป-ป๊อก” เข้าร่วมวง “กระชับอำนาจการเมือง” เอาไว้ในมือ

 

จากวันนั้นถึงวันนี้ เข้าใจกันได้ง่ายๆ ว่า “3 ป.” อยู่ในอำนาจเกิน 8 ปีกันทุกคน

เพียงแต่การดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” อย่างสมบูรณ์ มาเริ่มนับกันตั้งแต่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากรัชกาลที่ 9 ให้ “ป-ประยุทธ์” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 24 สิงหาคม 2557

มีหรือที่พี่ใหญ่จะ “ไม่รู้”!

“ป-ประวิตร” ย่อมรู้ว่า เที่ยงคืน 23 สิงหาคม 2565 คือ “เส้นตาย” ของประยุทธ์

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ก่อนถึงวันหมดอายุทางการเมืองของประยุทธ์เกือบเดือน “ไพศาล พืชมงคล” นักกฎหมายมือฉมังผู้มีฐานะเป็นกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (ประวิตร) ก็ออกมาดักคอพวกศรีธนญชัยเอาไว้ล่วงหน้าว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มีเจตนารมณ์ชัดเจนไม่อ้อมค้อม ไม่ต้องการให้เกิดวิกฤตทางการเมือง จึงกำหนดให้การอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของใครก็ตาม “ต้องไม่เกิน 8 ปี”

ประยุทธ์เป็นนายกฯ มา 2 สมัย คือตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557 กับสมัยที่ 2 หลังเลือกตั้งปี 2562 ถึงปัจจุบัน

นับยังไงก็ “ครบ 8 ปี”

ไหนว่าขอเวลาไม่นาน ทำไมครบกำหนด 8 ปีตามรัฐธรรมนูญแล้วถึงยังไม่อยากจะลง

“ไพศาล” เปรียบเทียบว่า พล.อ.เปรมซื่อสัตย์ ครบ 8 ปีลาออกทั้งที่ไม่มีกฎหมายบังคับ ส่วนประยุทธ์นั้นรัฐธรรมนูญบังคับ แต่ถึงเวลายังไม่ยอมออก กลับบอกให้ไปฟ้องศาล

กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญต้องมีมติ 5 ต่อ 4 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีก่อน

รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน

 

พลันที่ “ประยุทธ์” สิ้นบุญหมดวาสนา (ชั่วคราว) ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่ 23 สิงหาคม 2565 บันไดก็ไหลเลื่อนมาให้ “พี่ใหญ่” แห่ง 3 ป.ได้แสดงความสามารถในฐานะ “ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี”

แน่นอนว่าทั้งมันสมองและขนาดของหัวใจของ “พี่ใหญ่” นั้นเป็นที่รู้กันว่า เหนือกว่าทุกคนใน 3 ป.

เพียงเริ่มขยับท่วงท่าก็แสดงความเหนือกว่า “ประยุทธ์” ในทุกความเคลื่อนไหว

แต่อย่าลืมว่าบนเวทีการเมืองไทยมีลำดับชั้น!

โปรดฟังสักครั้ง… “ปวงชนชาวไทย” นั้นจัดอยู่ในลำดับชั้นล่างสุด

การเจรจาต่อรองทางการเมืองที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจำกัดวงอยู่ในกลุ่มตัวละครสำคัญเพียงไม่กี่ตัว ผู้ติดตามสังเกตการณ์อย่าได้เร่งด่วนตีความและหลงเชื่อในคำพูดกับภาพที่ปรากฏให้เห็น

“พี่ใหญ่” ที่ว่าไม่รู้ๆ นั้นอาจจะรู้ลึก รู้ชัด ตรงกันข้ามกับคนที่อวดรู้ไปเสียทุกเรื่องซึ่งแท้ที่จริงแล้วอาจโง่งม ดักดาน ไม่รู้อะไรเลย

ดังจะเห็น พลันที่เริ่มนั่งปฏิบัติหน้าที่ “แทนนายกรัฐมนตรี” ป-ประวิตร ที่เคยพร่ำแต่ไม่รู้ๆๆๆ กลับต่อสายตรงถึง “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม.ทันที ในภารกิจร่วมกันป้องกันภัยน้ำท่วม กทม.

“ชัชชาติ” เป็นสัญลักษณ์การทำงาน ผู้เป็นใหญ่ไม่ควรผลักไสให้เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

เพียงเริ่มต้น “ป-ประวิตร” ก็โชว์ให้เห็นความเป็นพี่ใหญ่ของ 3 ป.ได้ตลอดกาล!?!!