ทดสอบ ‘อาวดี้ Q8’ จัดจ้านในย่านนี้ เอสยูวีทรงสปอร์ต-เชื้อเพลิง 2 ระบบ / ยานยนต์ สุดสัปดาห์ : สันติ จิรพรพนิต

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์

สันติ จิรพรพนิต

[email protected]

 

ทดสอบ ‘อาวดี้ Q8’ จัดจ้านในย่านนี้

เอสยูวีทรงสปอร์ต-เชื้อเพลิง 2 ระบบ

 

ค้างคาอยู่ในสต๊อกมาพักหนึ่งแล้ว กับบทดสอบรถยนต์ของผมในช่วงที่ผ่านมา

เนื่องจากปลายเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม มีรถใหม่เปิดตัวกันแทบรายวัน ทั้งแบบโมเดลเชนจ์ และไมเนอร์เชนจ์

นัยว่าอวดโฉมเรียกน้ำย่อยก่อนไปเจอตัวเป็นๆ ในงาน “บิ๊ก มอเตอร์ เซลล์ 2022” ที่ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 19-28 สิงหาคม 2565

หลังจากเคลียร์ข้อมูลรถใหม่ไปประมาณหนึ่งแล้ว จึงถึงเวลาอันควรที่จะพาท่านผู้อ่านมาพบการทดสอบรถยนต์เสียที

คันนี้ภูมิใจนำเสนอสุดๆ เพราะเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ผมขับแล้วประทับจิตอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามรูปลักษณ์ภายนอก-ภายใน หรืออารมณ์การขับขี่

นั่นคือ “Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition”

ต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนอ่านออกเสียง เพราะชื่อรุ่นยาวเหยียดเหลือเกิน

อาวดี้ คิว8 รุ่นล่าสุดนี้อวดโฉมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พร้อมกับคู่แฝดรุ่นน้อง “Audi Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition”

อยู่ในเซ็กเมนต์เอสยูวีพรีเมียม แต่ไม่ใช่เอสยูวีจ๋า ออกแนวเอสยูวีอารมณ์สปอร์ต

ขุมพลังยังเป็นเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ใช้เชื้อเพลงทั้งน้ำมันและไฟฟ้าควบคู่กัน

เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยผ่านบริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด หรือ “อาวดี้ ประเทศไทย”

“The Best Plug-in Hybrid Ever”

โดย “อาวดี้ ประเทศไทย” ระบุว่า พัฒนาเทคโนโลยีเจเนอเรชั่นล่าสุด ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ทั้งคิว7 และคิว8 ถือเป็นรถยนต์พลังงานปลั๊กอินไฮบริด 2 รุ่นแรกของอาวดี้ ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย

ภายนอกออกแบบแนวสปอร์ต ความสูงไม่มากนัก ขณะที่ด้านหลังลาดเอียงลงเล็กน้อย

กระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมโลกโก้ 4 ห่วง ไฟหน้า Matrix LED สามารถปรับแสงปิด LED บางดวงอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้แยตารถที่สวนมา

ตกแต่งด้วยชุดแต่ง S line และอัพเกรดการตกแต่งเป็นแบบ Black Edition เปลี่ยนคิ้วโครเมียมรอบคันเป็นสีดำและฝาครอบกระจกมองข้างสีดำดุดัน

กระจกมองข้างสีดำพร้อมไฟเลี้ยว LED และระบบตัดแสงอัตโนมัติ

ไฟท้ายดีไซน์สวย ตกแต่งขอบกระจกหลัง และสปอยเลอร์ด้วยสีดำ

ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และระบบคิกเซ็นเซอร์ เตะเท้าเข้าใต้ท้องรถ

ล้ออัลลอยลายใหม่สวยงามตามท้องเรื่อง ขนาด 21 นิ้ว พร้อมยาง 285/40 แก้มบางเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น

คาลิปเปอร์เบรกสีแดงทั้งหน้า-หลัง

ภายในเด่นด้วยชุดแต่ง S line Interior

พวงมาลัยท้ายตัดพร้อมเบาะนั่งพร้อมตราสัญลักษณ์ S line

พวงมาลัย Multi-function แบบสปอร์ตท้ายตัดพร้อม Paddle shift หรือระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ปรับเปลี่ยนได้ตามความพอใจ

ตรงกลางเป็นจอขนาด 10.1 นิ้ว และจอควบคุม multi-function แบบสัมผัส พร้อมระบบ MMI Navigation plus

เครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ 17 ตำแหน่ง 730 วัตต์

ต่ำลงมาเป็นหน้าจอปรับระบบแอร์ เพิ่มความไฮเทคขึ้นไปอีก

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน ด้านหน้า 2 และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังอีก 1 โซน พร้อมฟังก์ชั่นเปิดแอร์ได้ขณะดับเครื่อง

เสาบียังติดตั้งช่องเป่าลมแอร์เพิ่มให้ผู้โดยสารตอนหลังด้วย

ที่เพิ่มความหรูหราสุดไม่พ้นเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบ Super Sport ลาย Diamond Cut

เบาะหลังนั่งสบายสามารถปรับพนักและเลื่อนเบาะเข้า-ออก เพิ่มพื้นที่วางเท้า หรือเพิ่มพื้นที่บรรทุกด้านหลัง รวมทั้งสามารถแบ่งพับราบแบบ 40-20-40

ติดตั้งม่านบริเวณกระจกประตูหลังทั้ง 2 ด้าน โดยที่นั่งหลังด้านซ้ายมีปุ่มไฟฟ้าเปิด-ปิดม่านและกระจกได้ด้วย

เข้าใจว่าทำมาเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริหารที่มักจะนั่งด้านหลังซ้าย

กลับไปที่คอนโซลกลางตั้งคันเกียร์ทรงเหลี่ยมจับกระชับมือ พร้อมเบรกมือไฟฟ้า และออโต้เบรกโฮล

มีหลังคาพาโนรามิกเพิ่มมาให้ด้วย

ประตูของรถรุ่นนี้เป็นแบบดูด ปิดแค่เบาๆ ระบบจะดูดประตูให้ปิดแน่นได้เอง

ที่เพิ่มความสปอร์ตมากขึ้นไม่พ้นกระจกข้างที่ไร้ขอบ

ลองเข้าไปประจำที่นั่งคนขับเบาะไม่ได้นุ่มมากนัก เรียกว่ากำลังดีไม่ยวบจนน่ารำคาญ

พวงมาลัยใช้หนังนุ่มมือ ขนาดกำลังเหมาะ

กดปุ่มสตาร์ตเสียงแทบไม่ได้ยินเพราะช่วงแรกจะใช้ระบบไฟฟ้าขับขี่ โดยวิ่งได้ระยะทางราวๆ 40 ก.ม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

จากนั้นเครื่องยนต์จะตัดไปใช้พลังงานน้ำมัน

ขุมพลังเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบ ขนาด 2,995 ซีซี กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร

ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 136 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร

เมื่อผสานการทำงานกันจะให้พละกำลังจากระบบขับเคลื่อนสูงสุดถึง 462 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตร

แค่เหยียบคันเร่งเบาๆ ก็รู้เรื่องเลย แล่นปรู๊ดเป็นจรวด

จากนั้นก็ลอยลมบนไปได้เรื่อยๆ ชนิดที่ผมต้องถอดใจก่อนที่เครื่องยนต์จะถึงขีดสุด

ยิ่งความเร็วกลางระดับ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาเร่งแซงมาทันใจจริงๆ

หากต้องแซงบนถนน 2 เลน ไว้ใจได้มากขึ้น

ช่วงล่างเป็นอีกสิ่งที่ประทับใจเพราะแน่นหนึบ และนุ่มนวล เป็นแบบถุงลม

จากที่ลองบริเวณคอสะพาน หรือลูกระนาด ผ่านได้สบายๆ แทบไม่ต้องชะลอความเร็วเลย

การขับแบบสลาลอม หรือกระชากเปลี่ยนเลนไปมา การเข้าโค้งแรงๆ เนียนกริ๊บ ไม่มีอาการเหวอให้รู้สึก

ส่วนมุมมองจากคนขับได้อารมณ์เก๋งมากกว่าเอสยูวี อาจด้วยตัวรถที่ไม่สูงมาก กระจกบานหน้าไม่ได้ใหญ่โต แต่ไม่ถึงกับอึดอัด

มีโหมดการขับขี่ หรือ e-tron mode ให้เลือก 4 แบบ

EV (electric driving) ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าเท่านั้น 100% เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง

Auto Hybrid (intelligent use of battery charge) มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์จะทำงานร่วมกัน

Battery Hold (maintain battery charge) เหมาะสำหรับการเดินทางจากนอกเมืองเพื่อเข้าในเมือง โดยรถยนต์จะใช้งานเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน เพื่อรักษาระดับประจุไฟฟ้าของแบตเตอรี่ให้สูงคงที่เท่าเดิม เพื่อจะเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่เอาไว้ใช้ในขณะเข้าเมืองให้วิ่งได้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้

Battery Charge (increase battery charge) รถยนต์จะใช้งานเครื่องยนต์และระบบนำพลังงานกลับมาใช้ (Recuperation) เพื่อที่จะพยายามชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูงให้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนออปชั่นอื่นๆ และระความปลอดภัยขอไม่เอ่ยถึง มาครบเกินพอตามสไตล์รถยุโรป

“Audi Q8 60 TFSI e quattro S line Black Edition” สนนราคา 5,799,000 บาท

ตั้งราคามาได้จูงใจเหลือเกิน เพราะถูกกว่ารุ่นเครื่องยนต์ปกติด้วยซ้ำ •