เบื้องหน้า มรสุม การหยัดอยู่ อย่างทระนง ของ ‘ลี้คิมฮวง’/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

เบื้องหน้า มรสุม

การหยัดอยู่ อย่างทระนง

ของ ‘ลี้คิมฮวง’

 

สภาพของลี้คิมฮวงตามสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง เมื่อประสานเข้ากับสำนวนแปล น.นพรัตน์ ถือได้ว่าย่ำแย่ตกต่ำอย่างไม่เคยประสบมาก่อน

มองจากมุมเล้งโซ่วฮุ้นที่สะท้านขึ้นเฮือกใหญ่ ตัวสั่นระริก

แลเห็นลี้คิมฮวงขางอพับ ฟุบไออยู่กับพื้นหิมะไม่หยุดยั้ง ไอจนลมหายใจขาดห้วง ไม่ปะติดปะต่อ

มาตรแม้นในมือยังกำมีดสั้นไว้แนบแน่น แต่ก็คล้ายกับคนที่ใกล้จมน้ำตาย

มือยังคงกำฟางเอาไว้แนบแน่น โดยมิทราบเลยว่า ฟางเส้นนั้นไม่มีทางช่วยชีวิตมันได้เด็ดขาด (สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง)

ในมือยังกำมีดน้อยเล่มนั้น คล้ายกับคนที่ใกล้จมน้ำตายผู้หนึ่ง

ในมือยังกำต้นแขมต้นหนึ่ง หาทราบไม่ว่าต้นแขมนี้ไม่อาจช่วยชีวิตมันได้ มีดน้อยแม้ยังอยู่ในมือ จนใจที่ไม่มีวันซัดออกไปได้ (สำนวนแปล น.นพรัตน์)

วีรบุรุษผู้ทระนง พานพบความอ้างว้างมาชั่วชีวิตนี้ หรือกลับมีผลบั้นปลายเช่นนี้

ลี้คิมฮวงที่มีความทระนงโอหัง ว้าเหว่ เดียวดายมาชั่วชีวิต หรือจะกลับมีบั้นปลายเยี่ยงนี้จริงๆ

 

นอกจากภาพอันร่อแร่ของลี้คิมฮวง ยังมีภาพอีก 2 ภาพจำเป็นต้องสะท้อนออก 1 เป็นภาพของบรรดาจอมยุทธ์ 1 เป็นเงาสะท้อนความรู้สึกของเล้งโซ่วฮุ้น

ผู้คนกลุ่มหนึ่งชุมนุมอยู่บนบันไดศิลานอกห้องโถง

“ฉั้งฉิกเอี้ยยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านดูกระบองของท่านผู้เฒ่ารวดเร็วปานใด ต่อให้เล้งซี่เอี้ยไม่โอบคนเอาไว้ลี้ชิ้มฮัวก็หลบไม่พ้น”

อย่าว่าแต่ที่ด้านข้างยังมี 1 กงซุนไต้เฮียบ 1 เตี่ยตั้วเอี้ย

“มิน่าเล่า ผู้อื่นบอกว่า เท้าของเตี่ยตั้วเอี้ยมีค่าหมื่นตำลึงทอง ท่านดูเท้าที่เตี่ยตั้วเอี้ยเตะออกไม่ทราบหมดจดเพียงใด มีคำกล่าวไว้ หมัดทักษิณ เท้าอุดร ผู้เหี้ยมหาญทางภาคเหนือเราความจริงมีเพลงเท้าอันยอดเยี่ยม”

เมื่อมีเตี่ยตั้วเอี้ยก็ย่อมต้องมีกงซุนไต้เฮียบ

“ท่าดรรชนีของกงซุนไต้เฮียบไหนเลยอ่อนด้อย หากมิใช่ท่านผู้เฒ่าลงมือทันท่วงทีต่อให้ลี้ชิ้มฮัวถูกหวดใส่กระบองหนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะล้มลง”

เท่ากับเป็นบทสดุดี 1 ฉั้งฉิกเอี้ย 1 เตี่ยตั้วเอี้ย 1 กงซุนไต้เฮียบ

 

กระนั้น ก็ยังมีข้อสังเกต 1 สอดแทรกขึ้น “วาจาแม้เป็นเช่นนี้ แต่หากมิใช่เล้งซี่เอี้ย” เหมือนกับจะโต้แย้ง แต่ก็ต้องหยุดลงกลางคันเมื่อเผชิญเข้ากับการสวนกลับ

“เล้งซี่เอี้ยเป็นไร หรือท่านยังไม่มีคุณธรรมต่อลี้คิมฮวงเพียงพอ

เล้งซี่เอี้ยนับว่ามีคุณธรรมอาจหาญเทียมฟ้าจริงๆ ลี้คิมฮวงมีวาสนาได้คบท่านเป็นมิตรสหายนับว่าโชคดีอย่างยิ่งจริงๆ”

“โกวเล้ง” สะท้อนความรู้สึกลึกๆ ของเล้งโซ่วฮุ้นออกมาอย่างไร

นอกจากที่บรรยายเมื่อประสบพบเห็นภาพลี้ชิ้มฮัวงอพับเท้า ฟุบร่างกับพื้นหิมะ ส่งเสียงไอไม่หยุดยั้ง ไอจนลมหายใจไม่ปะติดปะต่อ เล้งเซ่าฮุ้นอดหลั่งน้ำตาออกมามิได้

กล่าวเสียงสั่นสะท้าน “น้องเรา ล้วนเป็นเราทำร้ายท่าน เราเสียใจต่อท่าน เสียใจต่อท่าน”

แน่นอน มันย่อมฉุกคิดต่อประโยคอันสอดแทรกเข้ามาที่ว่า “คำพูดแม้กล่าวเช่นนี้ แต่หากมิใช่เล้งสี่เอี้ย” ยังไม่ทันสิ้นกระแสความก็ถูกตัดบท

เป็นการตัดบทและ “แก้ต่าง”

เล้งโซ่วฮุ้นที่นั่งเก้าอี้พนักสูงในห้องโถงใหญ่ได้ยินวาจาประดานี้แล้ว คล้ายมีเข็มทิ่มแทงใส่หัวใจ เหงื่อกาฬแตกโซมดุจฝนสาดซัดไม่ขาดสาย

ส่วนลี้คิมฮวงนั้นนอนขดกับพื้น ไออยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้ง

 

การสนทนาระหว่างลี้คิมฮวงกับเล้งโซ่วฮุ้นภายใต้สถานการณ์อันย่ำแย่และอิหลักอิเหลื่อยิ่งทั้งของลี้คิมฮวง ทั้งของเล้งโซ่วฮุ้นมีความหมาย

เหมือนเป็นคำ “สารภาพ” เหมือนเป็นการ “แก้ต่าง”

“น้องเรา ล้วนเป็นเราน่าตาย ท่านคบหากับเราเป็นมิตรสหาย นับว่าเป็น เป็นโชคร้ายของท่าน ท่าน ชีวิตนี้ของท่านถูกเราถ่วงทำลายไปแล้ว”

คำพูดอันมาพร้อมกับรอยยิ้มของลี้คิมฮวงคือ

“ตั้วกอ ข้าพเจ้าเพียงต้องการให้ท่านเข้าใจเรื่องหนึ่ง หากแม้นชีวิตข้าพเจ้าเริ่มต้นใหม่ได้อีกครา ข้าพเจ้ายังคงคบท่านเป็นมิตรสหายโดยไม่ใคร่ครวญ ลังเล เด็ดขาด”

เล้งโซ่วฮุ้นรู้สึกพลุ่งพล่านดาลเดือด จนต้องเปล่งเสียงร่ำไห้

“แต่ทว่า หากมิใช่เราขัดขวางท่านไม่ให้ลงมือ ท่านไหนเลยจะ ไหนเลยจะ”

เป็นไหนเลยจะ เป็นไหนเลยจะ ที่ค้างคาไม่ผ่านออกมาจาก 2 ริมฝีปาก เป็นไหนเลยที่ลี้คิมฮวงต้องการให้หยุดอยู่เพียงนั้น

เนื่องจาก “เป้าหมาย” แท้จริงของมันเป็นไปอย่างที่ได้กล่าว

“เป็นตายร้ายดีเรื่องเล็กยิ่ง ชีวิตข้าพเจ้าก็ยืนยาวมาพอเพียงแล้ว มีชีวิตพึงปีติอย่างไร ตายก็ต้องหวาดหวั่นไปไย เหตุใดจึงต้องมาคุกเข่าต่อหน้าพวกชายโฉดบัดซบเหล่านั้น”

นี่ย่อมเป็นสำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง ขณะที่สำนวนแปล น.นพรัตน์ ยืนยัน

“ความเป็นตายเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าพเจ้าความจริงมีชีวิตเพียงพอแล้ว ยามมีชีวิตไยต้องหรรษา แม้นตายไยต้องพรั่นพรึง เหตุใดต้องยอมศิโรราบต่อคนต่ำช้าเหล่านี้”

ในความเห็นของลี้ชิ้มฮัวคนเหล่านี้ “ต่ำช้า” อย่างไร

ในความเห็นของลี้คิมฮวงคนเหล่านี้ “โฉดบัดซบ” อย่างไร

 

เรื่องราวเป็นถึงขั้นนี้แล้ว เราเพียงหวังให้ตายเท่านั้น แต่ตอนนี้ในมือผู้แซ่ลี้ไม่มีมีดสั้นแล้ว ท่านทั้งหลายไยไม่ยอมลงมืออีก

เตี่ยเจี้ยอั้ว เรานับถือท่านจริงๆ

ท่านมาตรแม้นมีความชั่วช้าสามานย์เต็มอก แต่วาจาที่กล่าวกลับเปี่ยมคุณธรรมอยู่ทุกถ้อยคำ และถึงกับหน้าไม่แดงแม้สักน้อยนิดด้วย

บาปกรรมความผิดของข้าพเจ้าจาระไนไม่ถ้วนทั่ว จดบันทึกไม่หมดสิ้น

ข้าพเจ้ายกอ้างความดีงาม จิตใจชั่วช้าสามานย์ ถือเรื่องส่วนตัวเป็นภาระส่วนรวม กล่าวกระตุ้นยุแหย่

ฉวยโอกาสที่ผู้คนไม่ทันระวังลงมือลอบทำร้าย

เรื่องราวอันโฉดชั่วเลวร้ายเลวทรามทั้งหลาย ข้าพเจ้าแทบกระทำหมดสิ้น แต่ยังวางท่าโอ่อ่า ยกตนอยู่เหนือธรรมดา

มันตบหน้าข้าพเจ้าฉาดหนึ่ง ข้าพเจ้าเพียงถือว่าถูกสุนัขบ้ากัดใส่คำหนึ่ง

หากข้าพเจ้าเกรงกลัวคนต่ำช้าไร้ยางอายที่ถือคุณธรรมจอมปลอมเช่นพวกท่าน ก็เสียทีที่เป็นลูกผู้ชายชาตรีแล้ว

พวกท่านมีฝีมืออันใด ใช้ออกได้อย่างเต็มที่

 

แต่ละถ้อยคำของลี้คิมฮวงทระนงองอาจ ฟาดกระหน่ำเข้าไปที่ความเป็นวีรชนหาญกล้า และความเป็น “วิญญูชน” ของแต่ละคนอย่างชนิดตีกลางแสกหน้า

ถามว่าเป็นการพูดใน “สภาพ” อันราบรื่นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขากระนั้นหรือ

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่ถูกตอบโต้ด้วยวาจาอันเผ็ดแสบปวดร้อนในระนาบเดียวกัน หากแต่มีหลายครั้งที่ก้าวเข้าสู่ขั้นแห่งการลงไม้ลงมือ

ถามว่าแล้วลี้คิมฮวงยอมรับต่อการตอบโต้อย่างเซื่องๆ กระนั้นหรือ

ความร้ายกาจของลี้คิมฮวงกลับอยู่ที่วาจา กลับอยู่ที่การยืนหยัด ขณะเดียวกัน ก็ติดตามบทบาทและการแสดงของเฮียตี๋ร่วมสาบานอย่างต่อเนื่อง

เห็นอาการตัวสั่นระริกของเล้งโซ่วฮุ้นยามนั่งอยู่บนเก้าอี้

เห็นอาการยอมรับด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “น้องเรา ท่านอโหสิให้เรา ท่านเป็นวีรบุรุษ แต่เรา เรากลับเป็นคนอ่อนแอ”

ลี้คิมฮวงยิ้มพลางกล่าวด้วยความเข้าใจ

เข้าใจในสภาพและสถานะที่เล้งโซ่วฮุ้นดำรงอยู่ “นี่ไม่อาจตำหนิตั่วกอท่าน หากข้าพเจ้ามีภรรยา มีบุตร ก็ต้องกระทำเช่นดั่งตั่วกอ”

ตอนนั้น ฝ่ามือเหล็กของเตียเตี่ยอั้วก็กดไปที่ชายโครงกระดูกอ่อนของลี้คิมฮวงก่อนแล้ว