ผ่าปมฉาว ส.ต.ท.หญิง ทรมานทหารหญิงรับใช้ สุดบิ๊ก-อ้างเป็นเมีย ส.ว. ‘กองทัพ-ตร.’ แจงวุ่น/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

ผ่าปมฉาว ส.ต.ท.หญิง

ทรมานทหารหญิงรับใช้

สุดบิ๊ก-อ้างเป็นเมีย ส.ว.

‘กองทัพ-ตร.’ แจงวุ่น

 

เป็นเรื่องอื้อฉาวที่อยู่ในความสนใจของสังคมอย่างกว้างขวาง สำหรับการออกมาเปิดเผยของอดีตทหารหญิงชั้นประทวน ว่าถูกทำร้ายร่างกายโดย ส.ต.ท.หญิง ที่อ้างว่าเป็นภรรยาของสมาชิกวุฒิสภาที่ทรงเกียรติ ซึ่งอยู่ในฐานะนายจ้าง และทหารคนดังกล่าวอยู่ในฐานะทหารรับใช้

ไม่ใช่การทำร้ายร่างกายธรรมดา แต่เป็นการลงมือในลักษณะซ้อมทรมาน ในรูปแบบทาสในเรือนเบี้ย

พีกยิ่งไปกว่านั้น เมื่อทหารรับใช้คนดังกล่าวเปิดเผยว่าได้รับการฝากเป็นทหารโดย “นายหญิง” คนดังกล่าว

ไม่เพียงแค่นั้น นายหญิงที่ว่า เป็นตำรวจยศ ส.ต.ท. สังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาล แต่ไปช่วยราชการ กอ.รมน.ภาค 4 รับเบี้ยเสี่ยงภัย รับอายุราชการทวีคูณ แต่ตัวกลับนอนอยู่บ้านที่ จ.ราชบุรี

จนกลายเป็นคำถามถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าทำไม ส.ต.ท.หญิงคนนี้ถึงยิ่งใหญ่ได้ปานนี้ แล้วการเข้ารับราชการนั้นถูกต้องตามระเบียบจริงหรือไม่

รวมทั้งถามกองทัพว่าทำไมปล่อยให้กำลังพลมารับใช้บุคคลเป็นการส่วนตัวเช่นนี้

และถามไปถึงวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติว่าอยู่เบื้องหลังอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้หรือไม่

ทั้งหมดเป็นคำถามที่ติดค้างคำตอบต่อสังคม!!!

แจ้งความเพชรบุรี

อ้างเมีย ส.ว.ตื้บทหารรับใช้

เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวเป็นที่รับรู้ในสังคมเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม โดยนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง พร้อม “น้องเอ” อดีตทหารหญิงยศสิบตรี เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองราชบุรี เพื่อขอให้เอาผิด ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ บัวแย้ม หรือนุช ตำแหน่ง ผบ.หมู่ กก.4 บก.ส.1 ปัจจุบันช่วยราชการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในข้อหาทำร้ายร่างกาย

โดยระบุว่า ส.ต.ท.หญิงกรศศิร์ หรือเจ๊นุช ซึ่งเป็นนายจ้างของน้องเอ ตั้งแต่ทำร้านกาแฟ อ้างว่าเป็นภรรยาของสมาชิกวุฒิสภาคนหนึ่ง สามารถฝากเข้ารับราชการทหารได้ แต่ให้สัญญาว่าต้องคอยดูแลรับใช้ที่บ้าน ต่อมาเข้ารับราชการได้จริง แล้วทำงานที่หน่วยมาประมาณปีกว่า ก็มีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่บ้านของเจ๊นุช ที่ จ.ราชบุรี

หลังจากที่ทำงานได้สักพัก ก็ถูกทำร้าย อ้างว่าทำงานไม่ถูกใจ พูดไม่มีหางเสียง ทั้งตบปาก ใช้ที่หนีบผมร้อนๆ มาหนีบมือ ใช้เครื่องชอร์ตไฟฟ้าจี้ตามร่างกายและในร่มผ้า หลังๆ ใช้การชอร์ตปาก เพราะมีน้ำลายที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์แล้วจุดไฟ ใช้ไม้บรรทัดเหล็กตีจนเป็นแผล หนำซ้ำเงินเดือนข้าราชการทหารที่ได้รับหลังหักเงินกู้ยืมสหกรณ์ เดือนละ 5,300 บาท ก็ต้องโอนให้เจ๊นุช โดยถูกกระทำมานานกว่า 2 ปี

สุดท้ายทนไม่ไหวจนต้องมาขอความช่วยเหลือให้หลุดรอดจากขุมนรก

ไม่เพียงแค่นั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม กัน จอมพลัง ก็นำน้องเอไปแจ้งความเพิ่มเติมที่ สภ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อเอาผิดกับน้องชายนักการเมืองท้องถิ่น จ.ราชบุรี ที่เป็นเพื่อนชายคนสนิทของเจ๊นุช ในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกาย เมื่อครั้งไปเที่ยวหาดชะอำ และพักที่คอนโดมิเนียมชื่อดังแห่งหนึ่ง

โดยอ้างว่าฝ่ายชายที่มาร่วมลงมือทำร้าย เพราะกลัวเจ๊นุชจะเจ็บมือ และใช้เครื่องชอร์ตไฟฟ้าชอร์ตเข้าที่หลังคอและขา จนเนื้อไหม้เป็นแผล และใช้เก้าอี้ฟาดจนเก้าอี้หัก

ไม่เพียงแค่นั้น ยังใช้ปืนตบหน้าและใช้ปืนจ่อหัวด้วย

ถือเป็นคดีทำร้ายร่างกายที่เข้าข่ายการค้ามนุษย์!!!

สตท.ให้การ

‘บิ๊กโจ๊ก’ ลุยฟันค้ามนุษย์

ขณะที่เรื่องคดีความเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. รับมอบตัว ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ที่เข้ามอบตัวที่ สภ.เมืองราชบุรี พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อกล่าวหา เป็นข้าราชการแสวงหาประโยชน์ บังคับใช้แรงงานหรือบริการ โดยการข่มขืนใจ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของบุคคลนั้น หรือผู้อื่น โดยเป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจาก หรือไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ลักพาตัว ฉ้อฉล และใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อย ทางร่างกาย จิตใจ ความผิดตาม พ.ร.บ.ปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6, มาตรา 6/1, มาตรา 13 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

ก่อนที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์จะสอบปากคำด้วยตัวเอง พร้อมเปิดเผยว่า ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ รับสารภาพว่าทำร้ายร่างกายจริง โดยอ้างว่ามีอาการไม่สามารถควบคุมตัวเอง พร้อมนำใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ระบุว่ามีอาการควบคุมตัวเองไม่ได้เป็นระยะๆ และรับการรักษาต่อเนื่องมาประมาณ 2 ปี แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นโรคอะไร

ทั้งนี้ จากการสอบสวน ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ ให้การว่ามีผู้ใหญ่ฝากเข้ารับราชการตำรวจ และเป็นคนฝากสาวใช้เข้ารับราชการทหาร นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่ประสานงาน ส.ว.ท่านหนึ่ง ซึ่งคงต้องสอบสวนที่มาที่ไปอีกครั้ง

คุมสอบเข้มก่อนส่งฝากขังศาล พร้อมคัดค้านประกันเพราะเกรงจะยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน

สุดท้ายศาลไม่ให้ประกัน ส่งคุมตัวไว้ที่เรือนจำจังหวัดราชบุรี

ส่วนน้องชายนักการเมืองที่ร่วมทำร้ายร่างกายนั้น พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ระบุว่า พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุ เช็กภาพจากกล้องวงจรปิด และคาดว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาได้ในวันที่ 25 สิงหาคม ยืนยันทำตามกฎหมาย ไม่มีใครมีอภิสิทธ์เหนือใคร

ขณะที่นายคมสิทธิ์ จังพานิช ที่อ้างตัวเป็นแฟนเจ๊นุช ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ ยอมรับว่าตัวเองเคยร่วมทำร้ายน้องเอจริง แต่ทำไปเหมือนพ่อตีลูกเท่านั้น

พร้อมระบุว่า เป็นแฟนกับนุชมาได้ 7-8 เดือน ที่นุชลงมือเพราะเขาเป็นซึมเศร้า ขณะที่เอก็ชอบยั่วโมโหให้นุชโกรธแล้วจนทำร้ายร่างกาย ส่วนที่เงินของเอที่ต้องโอนให้นุช ก็เพราะเอมากินนอนอยู่กับนุช มีข้อตกลงว่าเวลาไปเที่ยวกันจะออกคนละครึ่ง เงินเดือนก็เป็นค่าใช้จ่ายส่วนนี้

ที่ผ่านมา เอเคยถูกนุชไล่ไปอยู่ที่อื่น โทรศัพท์ตามผมไปรับ ผมก็ไป พอนั่งรถไปได้สักพัก ก็บอกขอกลับบ้าน เพราะเป็นห่วงนุช อยากอยู่กับนุช ก็พากลับไป ส่วนตัวยังสงสัยว่าทำไมบาดแผลที่อ้างว่าถูกทำร้ายมันถึงมากขึ้น มีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ แต่ก็ยอมรับว่าได้ร่วมทำร้ายเอ ตีจริง ใช้ไม้ตี แต่ก็สอนตลอด เหมือนพ่อกับลูก หลังจากนี้ก็ว่าไปตามกฎหมาย ผิดก็ว่าไปตามผิด

พาชี้จุดที่ชะอำ

เป็นคำรับสารภาพที่น่าตกตะลึง!!

จี้ ‘ตร.-ทหาร’ แจงเส้นใหญ่

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคดีดังกล่าวได้รับความสนใจจากสังคมมากกว่าคดีทำร้ายร่างกายธรรมดา เนื่องจากผู้ต้องหา ซึ่งก็คือเจ๊นุชนั้นเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศเพียง ส.ต.ท. ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่าเข้ารับราชการเมื่อปี 2560 ด้วยอายุ 39 ปี ซึ่งขัดต่อระเบียบการเข้ารับราชการที่กำหนดอายุไว้ไม่เกิน 35 ปี

ไม่เพียงแค่นั้น ตามที่ระบุว่าสังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาล และได้รับการขอตัวไปช่วยราชการที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า หรือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะได้ทั้งเบี้ยเสี่ยงภัย อายุราชการทวีคูณ กลับปรากฏว่า เจ๊นุชไม่ได้ไปปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด ยังคงอยู่ที่บ้านพักใน จ.ราชบุรี

แถมยังเชื่อมโยงไปถึงสมาชิกวุฒิสภาว่า สรุปที่อ้างว่าเป็นภรรยานั้น เป็นภรรยาใครกันแน่ มีการร่ำลือไปอย่างกว้างขวาง จนอย่างน้อย ส.ว. 2 คน ประกอบด้วย นายวันชัย สอนศิริ และปัฐมพงศ์ ประถมภัฏ อายุ 68 ปี คนดังใน จ.ราชบุรี ต่างออกมาประสานเสียงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว

ส่วนเป็น ส.ว.คนใด หรือมีจริงหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครออกมาชี้แจง!??

ไม่เพียงแค่นั้น ยังตั้งคำถามถึงกองบัญชาการกองทัพไทย ที่เป็นต้นสังกัดของสิบตรีเอ ที่ถูกซ้อมทรมาน และส่งไปเป็นทหารรับใช้ ว่าขั้นตอนการรับเข้าราชการเป็นอย่างไร มีบิ๊กเนมคนไหนฝากฝัง หรือ ส.ต.ท.ที่เป็นผู้ต้องหาสามารถสั่งการได้จริงๆ

แล้วทำไมถึงยอมให้กำลังพลตัวเองไปรับใช้บุคคลภายนอก ทั้งที่ยังรับเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน

โดย พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองแม่ทัพน้อยที่ 4 และรอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ มาช่วยราชการในแผนกการข่าว แต่หลังเกิดเหตุมีการแจ้งความจากทหารรับใช้ในเรื่องการทำร้ายร่างกาย ทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ทำหนังสือส่งตัว ส.ต.ท.หญิงคนดังกล่าว กลับต้นสังกัดทันที จากนี้เป็นหน้าที่ของต้นสังกัด และตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ

ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ รองโฆษก ตร.ระบุว่า ส.ต.ท.หญิง กรศศิร์ รับราชการในวัย 39 ปีนั้นเนื่องจากใช้วุฒิ ปวส.ด้านบัญชีมาสมัคร ซึ่งสามารถรับได้ในส่วนตำแหน่งที่ขาดแคลนบุคลากร โดยสังกัดสำนักงบประมาณและการเงิน ก่อนย้ายไป บช.ส. และไปช่วยราชการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า

พล.ท.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร ยอมรับสิบตรีที่ถูกทำร้ายลาออกจากราชการเนื่องจากต้องดูแลบิดามารดาที่ป่วย และได้รับการอนุมัติให้ลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ อยู่ระหว่างสอบสวน

เป็นคำชี้แจงที่ยังมีคำถามอีกมาก และหวังจะได้ความชัดเจนยิ่งขึ้นกว่านี้!!!