เรื่องของพรหมลิขิต, หยิน-หยาง, คือเธอ เรื่องเล่าจาก ‘ญาญ่า’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

เรื่องของพรหมลิขิต, หยิน-หยาง, คือเธอ

เรื่องเล่าจาก ‘ญาญ่า’

 

ขณะที่คอละครส่วนหนึ่งชื่นชม บอกว่า ‘คือเธอ’ เป็นงานที่สนุก น่าสนใจ บางรายพูดถึงขั้นหลังเลิกดูละครไทยไปนาน เพิ่งตัดสินใจหวนกลับมาติดตามเพราะเรื่องนี้ ซึ่งฟังแล้ว ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ซึ่งเป็นนักแสดงนำ ก็ยิ้ม

ยิ้มแบบดูออก แบบเห็นได้ชัด ว่าปลื้มใจ

ตัวละคร ‘สายขิม’ ที่เธอสวมบทบาท ญาญ่าบอกว่า เหมือนจะมีชีวิตที่แบ่งออกเป็น 2 พาร์ต หนึ่งคือ “เป็นไข่ในหินของพ่อ”

เป็นที่ชีวิตเดินหน้า ถอยหลัง ซ้ายหัน ขวาหัน ตามที่พ่อสั่งมาตลอด ดังนั้น พอถึงวันซึ่งอยากลองใช้ชีวิตด้วยตัวเอง อยากรู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร อะไรต่างๆ จึงเกิดขึ้น

“เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากตรงนั้น จากที่ตัดสินใจจะลองใช้ชีวิตแบบไม่มีพ่อคอยบงการ”

และก็ทำให้ได้เจอ ‘ก้าวกล้า’ ชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก ซึ่งนำไปสู่จุดแตกหักกับพ่อ

“ช่วงเวลาที่เจอก้าวกล้า ชีวิตเราเปลี่ยน เหมือนเดสทินีของสายขิมที่ต้องเจอ เขาทำให้เรารู้สึกว่าได้รับความรักแบบที่ไม่เคยได้สัมผัส เลยฝังใจมากๆ”

แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิด ทำให้เธอต้องกลับไปใช้ชีวิตกับพ่ออีกครั้ง กระทั่งเวลาผ่านไปหลายปีก็มีจุดเปลี่ยนอีกครั้ง จนทำให้ต้องเดินหน้าหาความจริงจากทุกคนในชีวิต แล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง

เทียบงานชิ้นนี้กับที่ผ่านๆ มา ญาญ่าบอกว่า บทบาทนี้ “ยากตรงที่เขาเป็นคนค่อนข้างยอมคน ต้องการให้ทุกคนรอบข้างมีความสุข ดังนั้น ก็ค่อนข้างขี้เกรงใจ เกรงใจพ่อ พอเจอก้าวกล้าก็ไม่พูดสิ่งที่อยู่ในใจ ปากไม่ตรงกับใจมาก ก็จะเกิดการสื่อสารที่ไม่ดี”

ขณะที่ตัวจริงของเธอไม่เป็น

“เราจะพูดๆๆ”

“สายขิมจะน้อย จะค่อนข้างเบา จังหวะในใจเขาจะเต้นช้านิดนึง ตรงนี้ค่อนข้างยากที่เราต้องปรับเอนเนอร์จีของตัวเอง ให้เข้ากับเอนเนอร์จีของเขา”

 

อย่างไรก็ดี ในมุมของความรักแล้ว เธอรู้สึกชื่นชมทั้งสายขิมและก้าวกล้า

“ส่วนตัวญ่าเชื่อในพรหมลิขิต ก็รู้สึกว่าสายขิมกับก้าวกล้าน่ารัก อ่านแล้วรู้สึกว่าความรักสวยงามดี แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมาย แต่สุดท้ายมันคือเหมือนหยินกับหยาง ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ที่ยังไงก็ตาม ไม่ว่าอยู่ฝั่งไหนของโลกมันก็ดึงหากันอยู่”

แม้ว่าจะมี “เวรี่ เวรี่ ดราม่า” ก็ตาม

และเพราะเวรี่ เวรี่ ดราม่านั่นแหละ ที่ทำให้นางเอกคนดังบอกว่า ตลอดเวลากว่า 10 ปีที่ทำงานมาก “เรื่องนี้ร้องไห้เยอะสุดแล้ว”

“ไม่เคยร้องไห้เยอะขนาดนี้มาก่อนในชีวิต”

ส่วนฉากเลิฟซีนก็เยอะด้วยเช่นกัน

หากกระนั้น “ญ่าไม่ได้รู้สึกว่ามันเยอะเกินไป แต่เหมาะสำหรับเรื่องที่ควรจะมีอย่างนี้ และรู้สึกว่ามันละมุน ทุกครั้งที่เล่นก็สบายใจ ที่สำคัญกับพี่โอ้เรามีความเคารพต่อกันมากๆ ตอนที่เข้าฉากแบบนี้จึงไม่ได้รู้สึกอะไร ก็คือตามบท”

ญาญ่ายังบอกด้วยว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา “ในทุกๆ เรื่องที่เคยเล่น บทที่ยากที่สุด คือบทที่เล่นกับเพื่อนสนิท เพราะว่าเบสต์เฟรนด์ในชีวิตจริงเราต้องผ่านอะไรกันมาเยอะ”

ดังนั้น จึงรู้สึกว่าเป็นโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอคู่เล่นอย่าง ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง ที่คลิกกันตั้งแต่วันแรกเจอ

“คลิกกันเร็วมาก” ญาญ่าเล่าแล้วยิ้มกว้าง

“รู้สึกว่าคนนี้คือเบสต์เฟรนด์ในชีวิตจริงได้ เข้าฉากกับออกแบบมักจะเทคเดียวผ่าน”

มาริโอ้ที่เข้าฉากด้วยกันมากๆ ก็เป็นคนน่ารัก ขณะเดียวกันยังรู้สึกด้วยว่า “เขามีอะไรในตัว ที่ญ่าไม่รู้ว่าพี่เขารู้ตัวหรือเปล่า”

“คือกองนี้มีแต่ผู้หญิง แล้วเห็นชัดมาก ว่าพี่โอ้มีอะไรที่ดึงดูดพวกเรามากๆ เขาเป็นผู้ช้าย ผู้ชาย น่ะค่ะ เขาคงไม่รู้ตัวว่าเขามีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนต้องหันไปมองเขาตลอดเวลา”

“แล้วในกองก็สนุก ทั้งที่เรื่องดราม่ามาก แต่เราไม่เคยหยุดขำกันเลย จะเป็นกองที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป ว่าเป็นกองที่สนุกที่สุดในชีวิต”

 

ญาญ่าในวัย 28 ปีบอกด้วยว่า แม้เธอจะทำงานนี้มานานกว่า 10 ปี แต่ “เอาจริงๆ เวลามันเป็นแค่ตัวเลข ไม่ได้รู้สึกว่า เฮ้ย! นานขนาดนี้เลยเหรอ”

“แต่สำหรับมนุษย์คนหนึ่งก็รู้สึกว่าโชคดีที่เจอแพสชันของตัวเอง”

ในเรื่องของอนาคต ญาญ่าบอกว่า ไม่ได้คิดอะไรไว้เยอะแยะมากมาย

เพราะถ้าให้พูดตรงๆ คือ “ตั้งแต่โควิด ก็รู้สึกว่าอะไรก็ตาม ต้องให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น”

“เพราะถ้าไปแพลนเยอะ มันอาจจะไม่เกิดขึ้น”

“แต่ชีวิตตอนนี้ก็แฮปปี้หมดทุกอย่าง ทั้งการงาน ที่บ้าน ความรัก ก็เลยไม่อยากไปกดดันอะไรในอนาคตมาก”

“โควิดสอนให้เรารู้ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้”

“จริงๆ นะคะ”