กาละแมร์ พัชรศรี : ชีวิตติดเกาะ

มีแต่คนชอบถามว่า ชอบไปประเทศไหนมากที่สุด อยากกลับไปที่ไหนมากที่สุด หรือประทับใจที่ไหนมากที่สุด

แต่ไม่ยักมีคนถามว่า “คิดว่าจะไม่กลับไปที่ไหนอีก”

ถึงไม่ถาม แต่วันนี้มีคำตอบค่ะ

ระหว่างการเขียนต้นฉบับเรื่องนี้ ฉันกำลังนั่งอยู่ที่นี่ล่ะค่ะ “มัลดีฟส์”

เอาจริงๆ ก็ไม่เคยคิดอยากมา เพราะไม่รู้จะมาทำอะไรถ้าไม่ได้ชอบทะเล แสงแดด และกิจกรรมทางน้ำขนาดนั้น และรู้สึกว่ามาง่ายเกินไป เอาไว้เมื่อไหร่มาก็ได้ ฉันจึงข้ามมัลดีฟส์ไปเสมอ

แต่เมื่อกลุ่มเพื่อนที่ชอบเที่ยวอยากมากัน ก็เลยตามเลย เมื่อมากับคนหมู่มากก็ต้องว่าไงว่าตามกัน งบประมาณมีน้อยก็เลือกที่พักราคาย่อมเยาว์

เราจึงได้การบริการแบบย่อมเยาว์ไปด้วย

 

เมื่อก่อนฉันเคยบอกคนใกล้ตัวว่า “ชอบทะเลมากกว่าภูเขา” แต่พอเราได้ไปสัมผัสภูเขา เราจึงรู้ชัดว่า “เราชอบภูเขามากกว่าทะเล” เพราะภูเขามันลึกลับซับซ้อน มันสร้างความประหลาดใจให้เราเสมอ เราไม่รู้ว่าเมื่อเดินไปเรื่อยๆ เราจะเจออะไรบ้าง และภูเขาแต่ละที่ก็ไม่เคยเหมือนกัน ที่สำคัญเวลาที่เราได้เอาชนะความยากลำบาก ชนะใจตัวเอง เราจะจดจำมันเสมอ นี่จึงเป็นเสน่ห์ของภูเขาที่ฉันสัมผัสได้

แต่สำหรับทะเลแล้ว ฉันไม่ได้ชอบดำน้ำ ฉันจึงไม่ได้ตื่นเต้นกับมันสักเท่าไหร่

แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบดำน้ำก็คงอยากจะบอกฉันว่า “เธอๆ โลกใต้น้ำมันก็น่าค้นหาและตื่นเต้นไม่แพ้กัน”

เอาเป็นว่า เอาที่ชอบๆ เอาที่ใช่ๆ ของแต่ละคนแล้วกัน

การมาทะเลของฉันจึงเป็นการหย่อนใจ การได้ทอดอารมณ์ สายตา ลมหายใจให้มันพัดลอยไปกับคลื่นลม หากแต่กระตุ้นหัวใจฉันได้ไม่

แถมที่พักก็ไม่มีความประทับใจอะไร ห้องพักเฉยๆ อาหารรสชาติที่ทำให้เราผอมได้ พนักงานมึนงง สิ่งที่ชอบอย่างเดียวคือ “น้ำทะเลใสมาก”

แสดงว่าเขาต้องรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี ใสแบบที่น้ำสระบางที่ยังแพ้ ปลาที่อยู่น้ำตื้นก็พอมีให้เห็นเพลินๆ เวลาเราดำน้ำตื้น และในเวลาที่เปิดไฟตอนกลางคืน พวกนางก็จะว่ายมาตรงแสงให้เราได้เห็น

อีกอย่างที่ดีคือ “แดดดีมาก” แต่ก็มีฝนตกเป็นครั้งคราว คือมา 5-10 นาที ซู่ๆๆ แล้วก็จากไป แล้วแดดก็ออกมาใหม่ สอนชีวิตเราได้ดี เหมือนทุกข์กับสุข ไม่มีอะไรอยู่นานจีรังตลอดไป มันก็สลับๆ กันไปอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปตกใจหรือเสียใจ เสียอารมณ์กับมัน เดี๋ยวมาเดี๋ยวไปเหมือนแดดกับฝนที่มัลดีฟส์

แต่ทุกครั้งที่ฝนจาง รุ้งปรากฏกายเสมอ เหมือนมาให้รางวัลแห่งความอดทน ชีวิตที่นี่จึงดีอย่างที่ได้เห็นรุ้งอยู่บ่อยๆ

 

มาครั้งนี้ตั้ง 5 วัน ไม่รู้ทำไมเพื่อนมันมานานขนาดนี้ ก็เลยคิดกันว่า ให้เหมือนมาติดเกาะกลับบ้านไม่ได้ รอให้คนมาช่วยอย่างเดียว หาอะไรทำไปเล่นไปให้มันเพลินๆ เราต้องรอดสิ!

อาหารเช้าโหดกับเรามาก สั่งอย่างได้อย่าง น้ำผลไม้ปลอม ไส้กรอกเจี๊ยวหมา ขนมปังยางมะตอย ไข่แข็งเป็นก้อนหิน สั่งช็อกโกแลตได้นมร้อน ก็ดีจะได้ไม่อ้วน ส่วนอาหารกลางวันกับเย็นต้องไปตั้งแต่เปิด เพราะไปช้าอาหารหมด กินเท่าที่มี ก็ดีจะได้ซ้อมถ้าเกิดสงคราม

นี่ก็เดินตากแดดให้ตัวดำเล่นๆ ขึ้นไปอีก ดีที่มีครูโยคะมาด้วย ได้โยคะริมทะเล เก๋ไปอีก แต่มันดีตรงที่ได้ออกกำลังกายแบบ outdoor ฟังเสียงคลื่น มีลมพัด สูดอากาศบริสุทธ์ (เอ๊ะๆๆ เริ่มมีข้อดีละ)

แต่จะว่าไปก็ใช่ว่าไม่มีอะไรตื่นเต้น เมื่อกี้ก่อนนั่งลงเขียนต้นฉบับ อาบน้ำแต่งตัวโพกผ้าที่หัวจะออกไปถ่ายรูปหน้าห้อง ลมแรงมาก พัดผ้าที่โพกหัวหลุดลอยไปกะตา ภายในเวลาไม่กี่วิในหัว คิดว่า “จะเอาคืนหรือปล่อยไปดี” มีแอบคิดว่าจะมีใครเก็บให้เราไหม หันไปหันมา มีกรูนี่แหละยืนอยู่คนเดียว เอ๊ะ! แล้วผ้าโพกหัวนี่ก็สวยด้วยแถมแพงอีกต่างหาก (ฮา)

ในขณะที่ผ้าก็ลอยห่างออกไปทุกที เอาไงดีๆ ฉันตัดสินใจเขวี้ยงห่วงยางลงไปค่ะ กะว่ามันจะเกี่ยวผ้าไว้แล้วดึงเชือกสาวขึ้นมา ที่ไหนได้ แมร่งตกไปทั้งเชือก (ฟายแท้ค่ะ)

เอาล่ะ ถึงเวลาต้องถอดกางเกง ถอดนาฬิกา กำไล เหลือแต่ชุดว่ายน้ำ คว้าชูชีพ กระโดดลงทะเล ว่ายไปอย่างเร็ว ในใจคิดว่า “อิผ้ารอชั้นด้วยๆๆๆ”

ไม่รู้ผ้าลอยช้าหรือฉันว่ายเร็ว ในที่สุดก็คว้าไว้ได้ ตอนกลับว่ายทวนคลื่นกลับอีก คิดถึงเรื่องพระมหาชนกที่เคยดู นี่ฉันว่ายไม่กี่เมตรยังจะตาย โอ้โหท่านว่ายตั้งหลายวัน

ในที่สุดขึ้นฝั่งมาได้ปลอดภัย อาบน้ำใหม่ รูปไม่ได้ถ่าย

เอ้อ! ความจริงมัลดีฟส์ก็เริ่มทำหัวใจให้เต้นแรงแล้วนะ เดี๋ยวรอดูว่าอีก 3 วันที่เหลือจะเกิดอะไรขึ้น!!