ยุทธการ ป้ายหม้อดำ เต็มทั้งใบหน้า ‘ลี้คิมฮวง’ คือ ‘โจรดอกเหมย’/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

ยุทธการ ป้ายหม้อดำ

เต็มทั้งใบหน้า ‘ลี้คิมฮวง’

คือ ‘โจรดอกเหมย’

 

เสียงอันดังมาจาก “ภายนอก” มิได้เป็นเสียงธรรมดาอย่างสามัญ หากวัดจาก “อาวุธ” ที่ประดังเข้ามาก็มากถึง 17-18 ชนิด

ยิ่งเสียงตวาด “อย่าเพิ่งวุ่นวาย จัดการให้อยู่เสียก่อน”

คนผู้นี้กล่าวเพียง 7-8 คำ แต่สุ้มเสียงดังกังวานปานระฆังมหึมา พอกล่าวจบ รอบข้างก็ปราศจากสุ้มเสียงอื่นอีก

“เป็นฉั้งฉิกมาแล้วจริงๆ” นั่นคือความครุ่นคิดของลี้คิมฮวง

นั่นย่อมหมายถึง “ฉั้งฉิกเอี้ย” (นายที่เจ็ดแซ่ฉั้ง) แห่งเมืองลั่วหยาง จากนั้น ก็ได้ยินคนผู้นั้นสำทับตามมาอีก

“ในเมื่อสหายมาถึงที่นี่แล้วเหตุใดไม่กล้าออกมาพบกัน”

ได้ยินดังนั้น ลี้คิมฮวงส่งเสียงกระแอม ดัดสุ้มเสียงกล่าวขึ้น “ท่านทั้งหลายเมื่อมาถึงที่นี้ไฉนไม่ยอมเข้ามาพบพาน”

ส่งผลให้นอกห้องบังเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาอีก

 

เด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับว่าภายในตึกเมฆเรืองโรจน์มิได้มีแต่เพียงฉิ้งเฮ้างี้ มิได้มีแต่เพียงเตี่ยตั้วเอี้ย หากแต่ยังมีคนอื่นอีกรอคอยอยู่

1 ย่อมเป็นฉั้งฉิกเอี้ย (นายที่เจ็ดแซ่ฉั้ง) แห่งเมืองลั่วหยาง

1 ย่อมเป็นม่อฮุ้นชิ่ว (มือสัมผัสเมฆ) 1 ย่อมเป็นกงซุนไต้เฮียบ (ผู้กล้าแซ่กงซุน) หากประมวลแต่ละถ้อยคำอันดังขึ้นโดยรอบ

ล้วนเห็นว่า “ภายใน” เป็น “บ๊วยฮวยเต๋า”

ไม่ว่าจะเป็นประโยค “โจรดอกเหมย ท่านหนีไม่รอดแล้ว รีบออกมารับความตายเถอะ” ไม่ว่าจะเป็นประโยค “ต่อให้ท่านมีความสามารถเทียมฟ้า วันนี้พวกเราก็จะให้ท่านตายโดยไร้ที่กลบฝัง”

เริ่มจาก “เชื้อเชิญ” อย่างสุภาพ ในที่สุดก็กลายเป็นด่าทอ “กระตุ้น”

เห็นได้จากประโยค “บ๊วยฮวยเต๋า รู้จักแต่ลอบลักเล็กขโมยน้อยในความมืดเท่านั้นไหนเลยกล้าพบเห็นผู้คน” “พวกลักเล็กขโมยน้อย เต่าที่หดหัวอยู่แต่ในกระดองไม่กล้าพบคน เลวทรามต่ำช้า”

แม้จะโต้แย้ง “โจรดอกเหมยลับๆ ล่อๆ ดุจภูตผีจริง แต่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับข้าพเจ้า”

สุ้มเสียงที่ดังจากภายนอกจึงกลายเป็นคำถาม “ในเมื่อท่านมิใช่โจรดอกเหมย ถามว่าแล้วท่านเป็นผู้ใด”

เหมือนกับจะเปิดกว้าง เหมือนกับจะให้โอกาส

กระนั้น สำทับอันตามมาอย่างรวดเร็วเป็น “กงซุนไต้เฮียบยังถามมันทำอะไร เตี่ยตั้วเอี้ยต้องไม่ดูผิด คนผู้นี้เป็นโจรดอกเหมยโดยมิต้องสงสัย”

นั่นคือบทสรุป นั่นคือความมั่นใจ

 

ได้ยินดังนั้น ลี้คิมฮวงส่งเสียงหัวร่อดังกังวาน “เตี่ยตั้วเอี้ย ข้าพเจ้าทราบแต่แรกแล้วว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นลวดลายที่ท่านเล่นมา”

ในเสียงหัวร่อร่างพุ่งออกจากหน้าต่างดุจนกนางแอ่น

หมู่ผู้มีฝีมือที่ออคับคั่งทางภายนอก มีบ้างตวาดแล้วโถมเข้ามา มีบ้างแผดร้องแล้วถอยออกไป

ลี้คิมฮวงวกกายกลางอากาศพุ่งมา ณ เบื้องหน้าเตี่ยตั้วเอี้ย

“เตี่ยตั้วเอี้ยมีสายตากระจ่างแจ่มใสยิ่ง หากมิใช่มือเท้าของข้าพเจ้ายังแคล่วคล่องว่องไว ตอนนี้คงต้องเป็นปีศาจตายแทนบ๊วยฮวยเต๋าแล้ว ตายเยี่ยงนั้นจึงนับว่าน่าคลั่งใจยิ่ง”

เตี่ยตั้วเอี้ยหน้าเขียวคล้ำแค่นเสียงเย็นชา

“ดึกดื่นค่อนคืน มาซ่อนตัวลับๆ ล่อๆ ในที่นี้เพียงลำพัง ไม่ถือท่านเป็นบ๊วยฮวยเต๋าจะให้ถือเป็นผู้ใด ข้าพเจ้าทราบอย่างไรว่าโรคของท่านพลันทุเลาและลอบหลบมาในที่นี้อีก ข้าพเจ้ากลับมิทราบท่านกับลิ่มโกวเนี้ยจะมีไมตรีระดับนี้

เพียงแต่ว่าทุกผู้คนต่างทราบ ลิ่มโกวเนี้ยคืนนี้ต้องไม่อยู่ที่นี่แน่นอน

เพราะหลบหนีบ๊วยฮวยเต๋า ลิ่มโกวเนี้ยได้ขนของออกจากแนเฮียงเซี่ยวต๊กไปตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว”

ท่ามกลางการต้องสงสัยว่าเป็น “โจรดอกเหมย” ท่าทีของเล้งโซ่วฮุ้นเป็นอย่างไร

 

ทันทีที่เงาร่างของลี้คิมฮวงพุ่งออกจากข้างในราวนางแอ่นเหินพร้อมกับเสียงหัวร่อ ท่ามกลางภาวะแตกตื่นของยอดฝีมือที่อยู่ภายนอก

เล้งโซ่วฮุ้นร้องโพล่ง “ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งลงมือ นี่เป็นลี้ชิ้มฮัว น้องเรา”

ด้านหนึ่ง เตี่ยตั้วเอี้ยลงความเห็นว่า “ยามจัดการกับชนชั้นโจรดอกเหมยได้แต่ชิงลงมือเอาเปรียบ รอจนถามไถ่ให้กระจ่างชัดค่อยเคลื่อนไหวก็สายเกินการณ์แล้ว”

ทุกถ้อยคำล้วนสมเหตุสมผล ปราศจากช่องว่าง จุดโหว่ให้จู่โจม

ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง ลี้ชิ้มฮัวหัวร่อดังๆ กล่าวว่า “คำ ‘ชิงลงมือเอาเปรียบ’ อันประเสริฐ เช่นนี้เป็นว่าคืนนี้หากข้าพเจ้าตายในเงื้อมมือเตี่ยตั้วเอี้ย ได้แต่บอกว่าสาสม ไม่อาจโทษว่าเตี่ยตั้วเอี้ยแม้แต่น้อย”

เล้งโซ่วฮุ้นส่งเสียงกระแอมสองครา ยิ้มประจบกล่าวว่า “ค่ำคืนมืดมิด ไม่ว่าผู้ใดอาจดูผิดได้”

เด่นชัดมากยิ่งขึ้นในความเอนเอียงของเล้งโซ่วฮุ้นว่าดำเนินไปอย่างไร

 

ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มทวีมากยิ่งขึ้นเมื่อลี้คิมฮวงเสนอประโยค “เตี่ยตั้วเอี้ย เมื่อเข้าใจว่าข้าพเจ้าเป็นโจรดอกเหมย ตอนนี้ไฉนยังไม่ลงมือ”

คำตอบจากเตี่ยตั้วเอี้ยน่าสนใจอย่างยิ่ง

“ลงมือก่อนหรือลงมือสายหาเป็นไรไม่ มีฉั้งฉิกเอี้ยกับม่อฮุ้นเฮียอยู่ที่นี่วันนี้ ท่านยังคิดหนีรอดได้หรือ”

จากนั้น ม่อฮุ้นชิ่ว (มือสัมผัสเมฆ) กงซุนม่อฮุ้น ก็สำแดงตัว

คนผู้นี้ร่างผอมราวไม้รวก หน้าเหลืองดั่งขี้ผึ้งดูไปคล้ายเป็นคนป่วยผู้หนึ่ง แต่สุ้มเสียงกลับกังวานแหลมสูง เป็นยอดฝีมือที่อาศัย 14 ท่าสัมผัสเมฆสร้างชื่อไปทุกเขตแคว้น

จากนั้น ฉั้งฉิกเอี้ย (นายที่เจ็ดแซ่ฉั้ง) แห่งเมืองลั่วหยาง ก็สำแดงตัว

คนผู้นี้มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ยืนมือไพล่หลังดูไปคล้ายกับมหาเศรษฐีที่มีความเป็นอยู่อันเลอเลิศ ชาวยุทธจักรล้วนทราบว่า ฉั้งฉิกเอี้ยหากมีสีหน้าเคร่งเครียด ในดวงตาปรากฏเพลิงอำมหิต

พอฉีกหน้าไร้ไมตรี บนใบหน้าจะปราศจากรอยยิ้ม จากนั้นต้องลงมือฆ่าคน

แต่เมื่อประสบกับการท้าทายโดยตรงจากลี้คิมฮวง ไม่ว่ากงซุนม่อฮุ้น ไม่ว่าฉั้งฉิกเอี้ย ไม่ว่าเตี่ยตั้วเอี้ย ซึ่งรายล้อมโดยรอบลี้คิมฮวงล้วนหน้าเขียวคล้ำ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดๆ

กระนั้น ทั้ง 3 เพียงถลึงมองมีดน้อยในมือลี้คิมฮวง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ชิงลงมือ

 

คําท้าทายของลี้คิมฮวงไม่ว่าต่อเตี่ยตั้วเอี้ย ไม่ว่าต่อม่อฮุ้นชิ่ว ไม่ว่าต่อฉั้งฉิกเอี้ย ดำเนินไปอย่างชนิดตีกลางแสกหน้า

ไม่ประนีประนอม ไม่ไว้หน้า

เริ่มจาก “ข้าพเจ้าแม้มีสหายไม่น้อย แต่สหายที่มีศักดิ์ศรีเช่นฉั้งฉิกเอี้ยกลับไม่มีแม้แต่น้อย ฉั้งฉิกเอี้ยมิต้องผูกไมตรีกับข้าพเจ้า”

ตามมาด้วย “ข้าพเจ้าทราบว่าตอนนี้ท่านทั้งสามปรารถนาใคร่ปลิดชีวิตข้าพเจ้า ทั้งนี้เพราะ หลังจากฆ่าข้าพเจ้าที่เป็นโจรดอกเหมย มิเพียงได้รับลาภยศ โอบโฉมสะคราญแนบอก มิหนำซ้ำ ยังได้รับการจารึกชื่อลือลั่นไว้ในประวัติศาสตร์”

ตามมาด้วย “พวกท่านช่างผ่าเผยยิ่งนัก ภูมิฐานนัก สมเป็นหน้าเหล็กไม่ลำเอียง คุณธรรมเลิศล้ำไร้ผู้ทัดเทียมจริงๆ”

ตามมาด้วย “ข้าพเจ้าทราบ ฉั้งฉิกเอี้ยได้รับขนานนามกระบองเดียวสะกดทั่วแผ่นดิน สามลูกเหล็กพิชิตทั้งจักรวาล หรือฉั้งฉิกเอี้ยก็รอให้ท่านกงซุนซิงแซ (ท่านผู้แซ่กงซุน) ลงมือก่อน มิผิด 14 ท่าสัมผัสเมฆของกงซุนซิงแซปราดเปรียวเปลี่ยนแปร ทั้งสี่ทะเลไร้ผู้ต่อต้าน”

พูดพลางลูบคลำคมมีดในมือกล่าวอย่างแช่มช้า “แต่ท่านไฉนไม่ลงมือ”

 

โกวเล้งบรรยายตามสำนวนแปล น.นพรัตน์ ออกมาว่า มือสัมผัสเมฆและพวกทั้งสามกลับเยือกเย็นยิ่ง ไม่ว่าลี้ชิ้มฮัวกล่าวเหน็บแนมอย่างไร คนทั้งสามยังคงไม่ได้ยิน

ความจริง ทั้งสามปรารถนาใคร่เตะลี้ชิ้มฮัวให้ตายคาเท้า

แต่ “เซี่ยวลี้ซิ้งตอ” (มีดวิเศษของลี้น้อย) ไม่เคยพลาดเป้ามาก่อน” ขอเพียงลี้ชิ้มฮัวถือมีดอยู่ในมือ ยังมีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวก่อน

แต่มีคนผู้หนึ่งกล้า ถามว่ามันผู้นั้นเป็นใคร