จากปากคำของปูติน/กาแฟดำ สุทธิชัย หยุ่น

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

 

จากปากคำของปูติน

 

“ปูติน” คือใคร?

เป็นคำถามที่แวดวงสื่อตะวันตกตั้งคำถามตั้งแต่เขาเริ่มปรากฏตัวมีบทบาทโดดเด่นในการเมืองรัสเซีย

มาถึงวันนี้ หลังจากที่เขาตัดสินใจเปิดสงครามกับยูเครนก็มีนักวิเคราะห์พยายามจะตอบคำถามนี้อยู่

แม้ว่าคำถามนั้นจะเปลี่ยนจาก “ปูตินเป็นใคร?” เป็น

“ปูตินต้องการอะไร?”

เสริมด้วย “ปูตินมองโลกอย่างไร?”

เราอาจจะเคยฟังและอ่านปูตินแถลงแสดงจุดยืนของรัสเซียในหลายๆ วาระ แต่นั่นคือการแถลงด้วยภาษาทางการ

เราไม่ค่อยได้รับรู้การ “เปิดใจ” จริงๆ ของปูตินเท่าไหร่นัก… หนังสือเล่มนี้จึงน่าสนใจเป็นพิเศษเพราะเป็นการสัมภาษณ์เขาตอนที่เขาเพิ่งจะขึ้นมามีอำนาจใหม่ๆ

และผู้นำทั่วโลกอยากรู้ว่า “ปูติน” คือใคร?

 

โดยสังเขปแล้วปูตินทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองต่างประเทศใน KGB ยาวนานถึง 16 ปี ก่อนจะลาออกในปี 1991 เพื่อกระโดดลงการเมืองเต็มตัว

ปีนั้นมีความสำคัญมากต่อชีวิตและวิธีคิดของปูตินถึงวันนี้ เพราะเป็นปีที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย

ปรากฏการณ์นั้นฝังลึกอยู่ในความคิดความอ่านของปูตินจนถึงวันนี้

ปูตินดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ Federal Security Service (FSB) และเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงภายใต้การนำของผู้นำรัสเซีย Boris Yeltsin ก่อนที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 1999

ปูตินก้าวขึ้นในตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดีหลังจากที่เยลต์ซินลาออก ก่อนชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกในปี 2000

และได้รับเลือกตั้งใหม่ในปี 2004 หลังจากช่วยประเทศให้เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญด้วยราคาน้ำมันและก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก

เป็นการฟื้นตัวที่มีนัยสำคัญเพราะระบอบคอมมิวนิสต์ของรัสเซียต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก

ในขณะนั้น ตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียถูกจำกัดอำนาจไว้เพียง 2 สมัย

ปูตินจึงกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2008 ก่อนที่จะรับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2012 ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่ามีการโกงคะแนนกัน

ปูตินนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีนับตั้งแต่นั้นมา หลังจากได้รับเลือกตั้งใหม่ในปี 2018

ในปี 2021 (ปีที่แล้ว) หลังจากการลงประชามติ ปูตินลงนามแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้เขาสามารถลงสมัครรับตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกสองครั้ง

นั่นแปลว่าเขาสามารถนั่งเก้าอี้การเมืองสูงสุดของประเทศได้อีกหลายปี อย่างน้อยก็ถึง 2036

แต่ที่หลายคนอยากจะรู้ก็คือ ปูตินเองมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองอย่างไร

หนังสือเล่มนี้ First Person : An Astonishingly Frank Self-Portrait by Russia’s President เป็นการถอดเทปการพูดคุยเป็นภาษารัสเซียและแปลเป็นภาษาอังกฤษ

ทีมผู้สัมภาษณ์ปรากฏชื่อ 3 คนคือ Nataliya Gevorkyan, Natalya Timakova และ Andrei Kolesnikov

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี 2000 ซึ่งคือช่วงที่ปูตินขึ้นมามีอำนาจใหม่ๆ

คำถามคำตอบจึงน่าสนใจเพราะยังไม่ถูกเหตุการณ์ทางการเมืองภายหลังมาบดบังเรื่องที่ผู้คนทั่วไปสนใจเกี่ยวกับชีวิตของเขาเอง

ทีมผู้สัมภาษณ์บอกว่ามีการนั่งคุยกับปูตินทั้งหมด 6 ครั้ง ครั้งละประมาณ 4 ชั่วโมง

บทที่เกี่ยวกับหน้าที่ของเขาในฐานะเป็น “จารชน” หรือที่พาดหัวว่า Spy มีความน่าสนใจสำหรับผม

 

ถาม : คุณมาอยู่ KGB ในปี 1975 และลาออกปี 1991 ทั้งหมด 16 ปี ในจำนวนนี้คุณใช้เวลาอยู่ต่างประเทศกี่ปี?

ปูติน : ไม่ถึง 5 ปีด้วยซ้ำ ผมทำงานในเยอรมนีตะวันออกเท่านั้น ที่เมือง Dresden

เราไปเมืองนั้นเมื่อปี 1985 และออกมาหลังจากกำแพงเบอร์ลินล่มสลายในปี 1990

ถาม : งานของคุณมีอะไรบ้าง?

ตอบ : ก็กิจกรรมข่าวกรองตามปกติ เช่น สรรหาคนที่เป็นแหล่งข่าว, หาข่าวเอง, วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา และส่งไปมอสโก

ผมก็พยายามแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับพรรคการเมืองทั้งหลาย, ทิศทางและแนวโน้มของพรรคการเมืองเหล่านี้, ตัวผู้นำ…ผมศึกษาผู้นำในขณะนั้นๆ และวิเคราะห์ว่าใครจะเป็นผู้นำรุ่นใหม่ต่อไป รวมถึงการเลื่อนคนบางคนขึ้นไปบางตำแหน่งในพรรคและรัฐบาล

มันสำคัญที่เราจะรู้ว่าใครกำลังทำอะไรและทำอย่างไร และกำลังเกิดอะไรขึ้นในกระทรวงต่างประเทศของประเทศใดประเทศหนึ่ง และเขากำหนดนโยบายในแต่ละเรื่องอย่างไรและในส่วนต่างๆ ของโลก

เราติดตามศึกษาว่าหุ้นส่วนของเราจะมีปฏิกิริยาอย่างไรในการเจรจาลดอาวุธ

แน่นอนว่าการจะได้ข้อมูลเหล่านี้มานั้นจะต้องมีแหล่งข่าว

ดังนั้น การทาบทามสรรหาและประกบแหล่งข่าว, การเจาะหาข้อมูลและการประเมินกับวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นคือกิจกรรมหลักๆ ของตำแหน่งหน้าที่ของผม

ส่วนใหญ่เป็นงานรูทีน งานประจำ

ระหว่างการสัมภาษณ์นั้น ภรรยาของปูติน Lyudmila Putina ก็ร่วมสนทนาอยู่ด้วย

เธอแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ

“เราไม่คุยเรื่องงานที่บ้านเลย ดิฉันคิดว่างานของสามีมีลักษณะแตกต่างไปจากงานอย่างอื่น เพราะที่ KGB จะมีหลักสำคัญข้อหนึ่งคือ : อย่าแบ่งปันเรื่องราวกับภรรยาของคุณ…

“เราได้รับการบอกเล่าว่าเคยมีกรณีที่การพูดคุยแบบตรงไปตรงมามากเกินไปก็ทำให้เกิดผลพวงที่ไม่ดี…พวกเขาเชื่อว่ายิ่งภรรยาคุณรู้น้อยเท่าไหร่ เธอก็จะนอนหลับได้ดีเท่านั้น…ดิฉันพบปะสังคมกับคนเยอรมันอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าหากคนที่ดิฉันรู้จักคนไหนดูจะไม่เป็นที่พึงปรารถนา สามีก็จะบอกให้ดิฉันรู้…”

คำถาม : ตอนนั้น ชีวิตที่ GDR (เยอรมนีตะวันออก) น่าจะดีกว่าที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนะ

ปูติน : ใช่ เรามาจากรัสเซียที่คนต้องเข้าคิวกันยาว และข้าวของก็ค่อนข้างขาดแคลน แต่ที่เยอรมนีตะวันออกมีทุกอย่างเพียบพร้อม น้ำหนักผมเพิ่มขึ้น 2.5 ปอนด์เลย น้ำหนักตอนนั้น 165

ถาม : แล้วตอนนี้น้ำหนักเท่าไหร่

ปูติน : 165

ถาม : เกิดอะไรขึ้น?

ปูติน : ผมขอพูดตรงๆ เลย…

ถาม : เบียร์?

ปูติน : แน่นอน! เรามักจะไปที่เมืองเล็กๆ ชื่อ Radeberg ซึ่งเป็นที่ที่มีโรงเบียร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเยอรมนีตะวันออก

ผมมักจะสั่งเบียร์เป็นถัง ขนาด 3 ลิตร

คุณรินเบียร์ลงไปในถัง ปิดด้วยหัวจุก แล้วดื่มตรงจากถังกันเลย

นั่นคือผมดื่มเบียร์ 3.8 ลิตรทุกสัปดาห์

และที่ทำงานผมอยู่ห่างจากที่ทำงานแค่สองก้าวเท่านั้น ผมจึงไม่ค่อยจะมีกิจกรรมอะไรที่จะจัดการกับแคลอรีในร่างกายเลย

ถาม : ไม่เล่นกีฬาหรือ?

ปูติน : ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกสำหรับกีฬา และเราก็ต้องทำงานกันเยอะ

ถาม : ตอนมาที่เยอรมนีตะวันออก ตำแหน่งคุณคืออะไร?

ปูติน : ผมเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโส Senior Case Officer จากนั้นก็เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่าย ถือว่าเป็นการเลื่อนขั้นที่ดีเลยทีเดียว จากนั้นก็ได้ขึ้นเป็นผู้ช่วยอาวุโส และก็ไม่มีตำแหน่งอะไรสูงกว่านั้นอีกแล้ว เพราะอยู่เหนือผมขึ้นไปคือระดับผู้จัดการฝ่าย เรามีหัวหน้าคนเดียวเท่านั้น

เขาสร้างแรงจูงใจให้ผมด้วยการแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะกรรมการพรรคของ KGB ในเยอรมนีตะวันออก

(สัปดาห์หน้า : ปูตินกับการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน)