บางอย่างในความรักของเรา (21) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (21)

 

เป็นบรรณาธิการของผมเองที่ชี้ชวนให้ผมได้พบเห็นปิ่น เขาเอ่ยขึ้นระหว่างการยกแก้วเหล้าว่า “ผู้หญิงเรายุคนี้นี่ก็ช่างกระไร เสร็จงานพิธีกรรมจะไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยก็ไม่ได้ มากันทั้งที่ตาเขียวปั๊ด ปากแดงอย่างนั้น”

ผมมองตามสายตาของเขา หญิงสาวคนหนึ่งเดินควงคู่มากับชายหนุ่ม แขนขวาของเธอคล้องอยู่ที่แขนซ้ายของเขา ด้านหลังของทั้งคู่มีชายวัยกลางคนเดินติดตามมา พวกเขามีทีท่าปลอดโปร่งใจราวกับกำลังเดินเที่ยวเล่นในสวน สีหน้าของชายวัยกลางคนดูเหมือนคนที่มีความสุขหลังได้ชัยชนะสำคัญบางประการ และสีหน้าเช่นนั้นคงอยู่คู่ใบหน้าเขานานกว่านี้ หากเขาจะไม่หันมาเห็นผม

ใบหน้าของผมทำให้ใบหน้าของเขาขึ้งเครียดโดยฉับพลัน

ร้านอาหารที่กว้างใหญ่ทำให้เราเสแสร้งแกล้งยักท่าได้ในฉับพลัน เขาออกแรงดันหลังปิ่นและผู้ชายคนนั้นให้เลี่ยงไปอีกทางจนสุดสายตาผม ใจของผมที่โลดโผนโจนไปเพราะความสำเร็จเศร้าหมองลงโดยพลัน ผมเทเหล้าจากขวดใส่แก้วของตนอย่างไม่ยั้งมือ

“เฮ้ย ใจเย็นๆ เดี๋ยวเมาตายพอดี กินเหล้านะ ไม่ใช่ให้เหล้ากินเรา” บรรณาธิการของผมร้องออกมา

ผมไม่สนใจหรือไยดีในคำเตือนนั้น เทโซดาและน้ำเปล่าตามลงไปแทบจะทันที พรายฟองโซดาดันตนเองออกมาเหมือนหัวใจของผมที่กำลังจะระเบิด

“น้องๆ เอาเมนูมา ขอสั่งกับแกล้มหน่อย ดูท่าจะมีคนเมาก่อนเวลาเสียแล้ว เอาไก่สามอย่างกับต้มโคล้งปลากรอบมา ด่วนเลยนะ” บรรณาธิการของผมตะโกนเรียกพนักงานเสิร์ฟ เสียงสำทับของเขาดังก้องจนทำให้ใครต่อใครหันมามอง

ใครต่อใครนั้นรวมถึงปิ่นด้วย และเมื่อเธอหันมาเห็นผม สีหน้าของเธอก็ซีดเผือด ความวุ่นวายใจเกิดขึ้นกับเธออย่างเห็นได้ชัด แต่พ่อของปิ่นไม่ยอมให้เธอทักทายผม เขาดึงปิ่นให้จากไป

ผมเทเหล้าอย่างต่อเนื่อง ดื่มอย่างต่อเนื่อง กว่ากับแกล้มที่บรรณาธิการสั่งจะมาถึง ผมก็รู้สึกได้ถึงความมึนเมาในตัว สายตาของผมพร่า ผิวหน้าร้อนระอุ ผมเริ่มพูดช้าลงและมีอาการหัวใจเต้นแรง บรรณาธิการใช้ช้อนของเขาตักสิ่งที่มีอยู่กลางโต๊ะใส่ลงในจานข้าวของผม “กินอะไรสักหน่อย หน้าตาแดงไปหมดแล้ว ถ้าค่อยยังชั่วค่อยกินข้าว ขืนกินตอนนี้ข้าวพุ่งออกมาพอดี”

ถ้อยคำดังกล่าวทำเอาท้องไส้ผมปั่นป่วน มีอาการผะอืดผะอมเกิดขึ้นในตัวของผม ผมตัดสินใจลุกขึ้น บอกกับบรรณาธิการว่าจะไปห้องน้ำ

“ดีๆ ไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยก็ดี อย่าไปนานล่ะ มากันแค่สองคน ขืนฉันลุกออกไปตาม เขาจะพาลคิดว่าพวกเราเป็นนักกินฟรีเอาได้”

 

ผมก้าวออกจากโต๊ะ ทว่า แข้งขาของผมกลับอยู่ในสภาพที่ปลกเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง มันแสดงอาการผิดปกติด้วยการเกี่ยวเข้ากับขาเก้าอี้ ผมล้มลงแทบจะในทันที บรรณาธิการปราดออกจากที่นั่งมาพยุงผม นัยน์ตาของผมพร่า ผมสูดหายใจหนักๆ อากาศที่ผ่านเข้าปอดทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแม้จะไม่มากนัก เส้นเลือดตรงขมับของผมเต้นเร่า อาการเมาเป็นเช่นนี้เอง

“ไปห้องน้ำพอไหวไหม หรือจะให้ฉันช่วย เธอดูแย่เอามากๆ เดี๋ยวฉันสั่งน้ำชาให้ ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ”

ไม่ต้องรอให้เอ่ยซ้ำสอง ผมประคองตัวเดินไปข้างหน้า เมื่อเดินได้จนแน่ใจว่าขาของตนกลับมาทำงานอีกครั้ง ผมจึงเอ่ยถามพนักงานชายที่เดินสวนมาถึงที่ตั้งของห้องน้ำ เขาชี้ไปยังอาคารชั้นเดียวด้านหลัง ทีละก้าว ทีละก้าว ผมมุ่งหน้าไปยังอาคารแห่งนั้นอย่างตั้งใจ

ในที่สุดผมก็ถึงจุดหมาย ผมตรงเข้าไปในห้องน้ำปิดประตูลงกลอน แล้วเริ่มต้นอาเจียน เสียงอาเจียนของผมคงดังก้องไปทั่วบริเวณห้องน้ำแต่ผมไม่สนใจ พื้นห้องน้ำและรองเท้าของผมเลอะเทอะไปด้วยอาหารที่ค้างในกระเพาะ รสขม รสเปรี้ยวและกลิ่นไม่พึงประสงค์อุบัติแก่ตัวผมในเวลาเดียวกัน นี่ช่างเป็นวันที่ย่ำแย่ที่สุดของผมวันหนึ่งแทนที่มันจะเป็นวันอันรื่นรมย์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการสบตากับปิ่นเพียงครู่เดียว

ราวสิบนาทีจนผมแน่ใจว่าไม่มีอะไรคั่งค้างในตัวอีกต่อไปแล้ว อาการหลายอย่างของผมรู้สึกดีขึ้น ผมเปิดกลอนประตู ระบายอากาศอบอ้าวชวนคลื่นเหียนให้ออกไป ผมใช้สายยางที่อยู่ในห้องน้ำฉีดทำความสะอาดพื้นและรองเท้าของตนจนอยู่ในสภาพที่ดีเพียงพอ ก่อนจะยุติทุกอย่างและมุ่งไปยังอ่างล้างหน้าที่ตั้งอยู่บริเวณด้านนอก มีชายคนหนึ่งกำลังล้างมือของเขา เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่าเป็นพ่อของปิ่นนั่นเอง เขาหันหลัง เผชิญหน้ากับผม เป็นการเผชิญหน้ากันอีกครั้งในสภาพที่ผมไม่มีความพร้อมใดๆ

“ไม่คิดว่าฉันจะได้เจอเธอที่นี่ ร้านอาหารแบบนี้ดูไม่เหมาะกับเธอเท่าใดนัก แต่ก็นั่นแหละ ฉันว่าเธอคงไม่ได้ออกเงินเอง ดังนั้น พวกแมลงเหลือบอะไรพวกนี้ก็ย่อมบินไปได้ทุกที่แม้ที่ที่มันควรจะไปเยือน”

คำพูดของเขาทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็เพียงชั่วครู่จริงๆ ผมเดินผ่านเขาไปที่อ่างล้างหน้า หยิบสบู่ขึ้นถูกับฝ่ามือก่อนจะใช้ฟองสบู่ทั้งหมดทำความสะอาดใบหน้า ราวสองสามนาทีผมก็รู้สึกดีขึ้นมาก ผมใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าตนเองจนแห้ง เมื่อผมมองที่กระจกด้านบนของอ่างล้างหน้าผมก็เห็นภาพพ่อของปิ่นสะท้อนอยู่ในนั้น เขายังยืนจับจ้องผมราวกับผู้คุมที่กำลังตรวจตรานักโทษของตนเอง

“ฉันมีข่าวดีจะแจ้งให้เธอทราบ ไหนๆ ก็ได้เจอกันอีกครั้งแล้ว ปิ่นเพิ่งหมั้นกับผู้ชายที่เขารักมากเมื่อเช้าวันนี้ เป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งความรู้ ฐานะและหน้าตา ฉันมีความสุขมากที่ในที่สุดปิ่นก็เลือกทางเดินที่ถูกต้อง ทางเดินที่ควรจะเป็น ไม่รู้ผีห่าซาตานตนใดทำให้ปิ่นหลงทางไปได้เสียหลายปี”

ผมเปิดก๊อกน้ำ ปล่อยให้น้ำไหลไปอย่างไม่แยแส เสียงน้ำที่ไหลผ่านท่ออย่างต่อเนื่องทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ผมเดินผ่านพ่อของปิ่นกลับไปที่โต๊ะของตนเองราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน แม้จะไม่มีดวงตาอยู่เบื้องหลัง แต่ผมสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความชิงชังอันมหาศาล

 

บรรณาธิการลุกจากโต๊ะเมื่อเห็นผมเดินกลับมา เขาโอบไหล่ผมเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ไปเสียนาน ฉันนึกว่าเธอเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านไปเสียแล้ว นั่งลงก่อนสิ ฉันสั่งอาหารมาเพิ่มและสั่งข้าวให้เธอด้วย เรื่องเหล้าสำหรับเธอนั้น วันนี้ฉันคิดว่าพอเพียงเท่านี้น่าจะดีกว่า”

ผมนั่งลงที่โต๊ะ สายตาเริ่มกลับเป็นปกติ ขาของผมมั่นคง ผมเอื้อมมือหยิบแก้วน้ำ ดื่มน้ำเปล่าจนหมดแก้ว บรรณาธิการเทน้ำจากเหยือกใส่ลงในแก้วเพิ่มให้ผม เขาเอ่ยต่อว่า

“กินเหล้ามันก็เหมือนการเล่นกีฬา ต้องมีการฝึก ต้องมีการวอร์มร่างกาย ต้องรู้จังหวะจะโคนของมันว่าเท่าไหร่เราจะเมา และกำหนดปริมาณการดื่มไว้ไม่ให้ไปถึงจุดนั้น คนเราเวลาเมานั้นไม่น่าดูเอาเลย จะเป็นปัญญาชนขนาดไหนก็ตาม พอเมาก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปหรอก”

“การเรียนรู้ที่จะหยุดตนเองก่อนเมาคือการฝึกฝนตนเอง ใหม่ๆ ก็อาจกินเกินขนาดแบบเธอนี่ล่ะ เทเหล้ายังกับกระชอนก้นรั่ว แต่ถ้าเราตั้งใจจะเรียนรู้แล้ว เดี๋ยวก็เป็น เดี๋ยวก็คล่อง สำคัญเรื่องเดียวอย่ายอมแพ้หรือท้อถอย อะไรก็ตามที่เราทำไม่ได้ เราถูกคนสบประมาท เรายิ่งต้องพิสูจน์ตนเอง ถ้าเราสามารถไปถึงจุดที่เราต้องการได้แล้ว เรายิ่งต้องแสดงความทระนงของตัวเรา อย่าไปหงอ อย่าไปกลัวใคร”

“คนเรานั้นเกิดมาครั้งเดียวก็ตายครั้งเดียว ศักดิ์ศรีนั้นสำคัญ ถ้าเดินเชิดหน้าชูตาอย่างองอาจไม่ได้แล้วละก็ อย่าเกิดมาเสียดีกว่า”

นั่นคงเป็นคำอบรมหรือโอวาททั้งหมดจากบรรณาธิการ เขาเทน้ำแข็งใส่แก้ว รินเหล้าแล้วเติมโซดาตามลงไป เขาจะเติมโซดามากน้อยเพียงใดนั้น ผมไม่อาจทราบได้ เพราะผมลุกขึ้นจากโต๊ะในขณะนั้น ผมเดินตรงไปที่โต๊ะของปิ่น พ่อของปิ่นเห็นผมเป็นคนแรก ในขณะที่ปิ่นเห็นผมเป็นคนที่สอง ชายที่มากับปิ่นเงยหน้าขึ้นจากจานข้าวของเขาและเห็นผมเป็นคนถัดมา เขาพูดกับพ่อของปิ่นว่า “ไอ้นี่ใช่ไหมที่คุณพ่อไปเจอมาที่หน้าห้องน้ำ ที่ว่าเป็นเหลือบที่บินเข้ามาในที่ที่ไม่ควรจะมา”

ชายผู้นั้นพูดได้เพียงเท่านั้น เขาคงมีประโยคที่ตั้งใจจะพูดให้ยืดยาวกว่า เพียงแต่เขาหมดโอกาส ผมจบประโยคของเขาด้วยการปล่อยหมัดเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างแรง เสียงหมัดกระทบใบหน้าดังสนั่น เขาร่วงหล่นลงจากโต๊ะราวกับเศษกระดาษที่ปลิวลงจากกอง

ร่างของเขาดูบางเบาไม่ต่างต้นฉบับที่ผมโยนทิ้งลงตะกร้าเพราะความไร้ค่าของมัน •