‘ฉาก’ / ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : นพพร สันธิศิริ

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด

นพพร สันธิศิริ

 

‘ฉาก’

 

ขณะก้าวเท้าลงมาตามขั้นบันไดจากสถานีรถไฟฟ้า เด็กสาวเหลือบไปมองสระน้ำใหญ่และทิวไม้เขียวครึ้มในสวนสาธารณะ เธอนึกอยากจะหาที่นั่งหย่อนใจอยู่พอดี คำตำหนิของอาจารย์เรื่องงานในชั่วโมงเรียนตอนบ่ายทำให้เธอยังไม่อยากกลับบ้าน เมื่อเดินลงสะพานมาจึงเดินไปที่ประตูทางเข้าสวน แทนที่จะไปที่ป้ายรถเมล์เหมือนทุกวัน

ทันทีที่เท้าก้าวเข้าประตูกว้างใหญ่ของสวนสาธารณะ เด็กสาวรู้สึกถึงแรงปะทะกับบางอย่าง เธอเดินถอยออกมา เบื้องหน้าเธอคือประตูของสวนสาธารณะที่เปิดกว้าง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

เด็กสาวเดินเข้าไปที่จุดเดิมอีกครั้งและยังคงชนกับอะไรสักอย่างเหมือนเดิม เธอจึงยกมือยื่นไปข้างหน้า สัมผัสจากนิ้วบอกว่ามันคล้ายผ้า เมื่อลองใช้มือดันเข้าไป ภาพถนนที่เป็นทางเข้าสวนก็ยวบตามแรงมือ เด็กสาวตกใจ ชักมือกลับ หันไปมองรอบข้าง ไม่มีใครสนใจเธอ ทุกคนต่างรีบเดินไปข้างหน้า

เด็กสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินถอยออกมามองทางเข้าสวนอีกครั้ง เธอพบว่าทุกอย่างปกติดี ต้นไม้ร่มครึ้ม แสงแดดสดใส สระน้ำใหญ่ส่องประกายระยิบระยับยังอยู่ตรงหน้า เธอยกมือขึ้นทั้งสองข้างแล้วเดินเข้าไปอีก มือทั้งสองรู้สึกถึงแรงปะทะ ครั้งนี้ภาพสวนตรงหน้ากระเพื่อมเป็นคลื่นเล็กๆ เด็กสาวยกมือตีไปข้างหน้าแรงๆ ต้นไม้ ถนน สระน้ำในสวนที่มองเห็นกระเพื่อมเป็นระลอก เธอตีจนแน่ใจว่าเบื้องหน้าที่เธอมองเห็นเป็นวัตถุคล้ายผืนผ้าใบ

ครั้งนี้เด็กสาวล้วงมือหยิบคัตเตอร์ในกระเป๋าแล้วยกขึ้นสุดแขน ลากกรีดลงแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว ภาพสวนกว้างใหญ่ตรงหน้าแยกออกจากกัน ปรากฏรอยโหว่ตรงกลาง เด็กสาวตกใจกับภาพตรงหน้าครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยื่นมือเข้าไประหว่างผืนผ้าใบที่แยกออก มือบอบบางของเธอพบเพียงความว่างเปล่า

เด็กสาวค่อยๆ ยื่นหน้าทะลุรอยโหว่เข้าไป สิ่งที่เธอเห็นคือพื้นที่รกร้างขนาดเท่าสวนภายนอก รอยแยกที่เธอกรีดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของผืนผ้าใบสูงหลายเมตร ขึงด้วยโครงไม้ ติดตั้งอยู่ด้านหน้ารั้ว ล้อมสวนไว้ทั้งหมด เด็กสาวยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปสิ่งที่เห็นหลังผ้าใบ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามองเธอ คนขี่มอเตอร์ไซค์วินที่กำลังรอลูกค้าแถวนั้นเดินมาดูรอยโหว่นั้นด้วย

“ทำอะไรน่ะ” มีเสียงดังมาจากข้างหลัง เมื่อเด็กสาวหันไปมอง เธอเห็นชายสูงอายุแต่งตัวในชุดออกกำลังยืนจ้องเธออยู่

“หนูจะเข้าไปในสวน แต่เจอผ้าใบกั้นอยู่ เลยกรีดดู”

“หนูเก็บคัตเตอร์แล้วรีบเดินออกมา” ชายสูงอายุเดินเข้ามาหาเด็กสาว แต่ช้าเกินไป ผู้ชายสองคนใส่ชุดซาฟารีสีดำ ใส่แว่นดำ พุ่งเข้ามาหาเด็กสาว คนหนึ่งหยิบคัตเตอร์ในมือของเธอไป อีกคนพยายามจับผ้าใบที่ขาดมาประกบไว้ด้วยกัน แล้วใช้เทปกาวปะผ้าใบที่ขาดให้ติดกัน

“มันเป็นทรัพย์สินของราชการนะ น้องทำแบบนี้ได้ยังไง” คนที่ถือคัตเตอร์ถามเสียงดุ

“พี่ไม่เห็นเหรอว่ามันผิดปกติ ทำไมสวนสาธารณะเป็นอย่างนี้” เด็กสาวชี้ที่รอยโหว่

“เป็นเรื่องของทางราชการ ยังไงน้องก็ทำแบบนี้ไม่ได้” ชายถือคัตเตอร์เสียงดังกว่าเดิม

“คุณปล่อยเด็กไปเถอะ เขาไม่รู้เรื่อง เขายังเด็กอยู่” ชายสูงอายุเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย

“นี่เป็นเรื่องของราชการครับ” พูดจบชายชุดซาฟารีก็ดึงแขนเด็กสาวออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่

รถคันนั้นพาเด็กสาวไปที่อาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง หน้าต่างทุกบานของอาคารติดฟิล์มดำ เจ้าหน้าที่สอบสวนเธออยู่พักใหญ่ บันทึกข้อมูลของเธอไว้อย่างละเอียด แล้วบอกให้เด็กสาวลืมเรื่องนี้เสีย คิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น และปล่อยตัวเธอออกมาตอนดึกของวันนั้น

 

เด็กสาวเรียนหนังสือไปตามปกติ แต่บางครั้งเธอก็เล่าเรื่องที่เจอมาให้คนที่ไว้ใจฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อเธอเลย เธอจึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียว ทุกครั้งที่ลงจากรถไฟฟ้ามาขึ้นรถเมล์กลับบ้าน เธอจะมองที่สวนสาธารณะและนึกถึงเหตุการณ์นั้นเสมอ

จนวันหนึ่งเธอเห็นชายสูงอายุที่เคยพยายามช่วยเธอ นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าสวน สาธารณะ เขาใส่ชุดออกกำลังเหมือนเดิม เธอมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินเข้าไปหาและยกมือไหว้

“คุณลุงคือคนที่ช่วยหนูในวันนั้นใช่ไหมคะ”

ชายสูงอายุหันมามองเธอ เขานึกอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดออกมาเบาๆ “อ๋อ หนูนี่เอง”

“สิ่งที่หนูเห็นมันคืออะไรคะ”

ชายสูงอายุถอนหายใจ หันมองรอบๆ แล้วพูดกับเด็กสาว “หนูนั่งลงก่อนไหมล่ะ”

เด็กสาวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวนั้น ตาจ้องชายสูงอายุอย่างต้องการคำตอบ

“หนูคิดยังไงถึงไปทำแบบนั้น” ชายสูงอายุถามเบาๆ

“หนูจะเข้าไปเดินเล่นในสวน แล้วเจอผ้าใบขวางอยู่ หนูอยากรู้ว่ามันเป็นอะไร เลยกรีดดู”

ชายสูงอายุหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “หนูไปยุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง” เขาถอนหายใจอีกครั้ง

“ที่หนูเห็นมันคืออะไรคะ” เด็กสาวจ้องเขม็ง

“หนูอย่าไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ ตกลงไหม ไม่งั้นหนูจะมีอันตรายเอง” ชายสูงอายุหันมามองเด็กสาว รอการรับปาก เด็กสาวพยักหน้า

“หนูเคยดูลิเกไหม เดี๋ยวนี้คงหาดูยากหน่อย ถ้าหนูสังเกตด้านหลังของเวทีลิเก เขาจะใช้ผ้าขึงเป็นฉาก แล้วก็วาดให้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เล่น เป็นคฤหาสน์บ้าง เป็นป่าบ้าง ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยสนใจฉากหลังหรอก แค่รับรู้ว่ามันคือที่ไหน แล้วเราก็เพลินไปกับเรื่องที่เขาเล่น ไอ้ที่หนูเห็นมันใช้วิธีแบบเดียวกัน มันคือฉาก”

เด็กสาวหันกลับไปมองสวนสาธารณะด้านหลัง คล้ายกับไม่เชื่อคำที่ชายสูงอายุพูด

“แต่มันเหมือนมากเลยนะคะ”

“บ้านเราเก่งเรื่องงานฝีมือน่ะ เรื่องนี้ไม่ยากหรอก”

“หนูไม่เข้าใจว่าแล้วเขาจะทำแบบนี้เพื่ออะไร”

“เพื่อหลอกเราว่าได้ทำเรื่องนี้ไปแล้ว ทำโครงการนั้นไปแล้ว เพราะจริงๆ เขาไม่ได้ทำอะไรไง แค่ให้คนวาดมันบนผ้าแล้วขึงไว้กับโครงไม้ เห็นไหมล่ะหนูกรีดนิดเดียวมันก็ขาด”

“ทำไมคุณลุงถึงรู้เรื่องพวกนี้”

“เมื่อก่อนลุงก็เคยเป็นแบบหนู” ชายสูงอายุหยุดพูด หันมายิ้มให้เด็กสาว “เมื่อนานมาแล้ว”

“หนูสงสัยมากว่าแล้วทำไมเขาไม่สร้างหรือพัฒนาอะไรขึ้นมาจริงๆ ล่ะ”

ชายสูงอายุหัวเราะเสียงดัง แล้วถามเด็กสาวกลับ “หนูคิดว่างบประมาณมันหายไปไหนล่ะ”

เด็กสาวพยักหน้าเบาๆ แล้วเริ่มคำถามใหม่ “แล้วทำไมชาวบ้านถึงไม่รู้เรื่องนี้คะ”

“ถ้าคนตั้งใจมองจริงๆ ก็มองออกว่ามันเป็นผ้าใบ แต่คนไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะแค่หากินเลี้ยงปากท้องก็หมดเวลาแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาสนใจ หนูลองดูคนที่เดินผ่านหน้าเราไปสิ”

ชายสูงอายุในชุดออกกำลังพยักพเยิดให้เด็กสาวมองตรงหน้า “ทุกคนต้องรีบ ค่าแรงเราน้อย แต่ของแพง ถ้าทำงานน้อยก็ไม่พอกิน เขาทำฉากพวกนี้เพื่อหลอกเราว่าบ้านเมืองดี ไม่มีปัญหา เราก็เชื่อเขา เพราะเราไม่มีเวลาตั้งคำถาม ทุกคนต้องเอาตัวให้รอด”

“แล้วเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอคะ”

“ไม่ได้ ลุงเคยลองแล้วสมัยหนุ่มๆ มันเปลี่ยนไม่ได้เลย กลไกเรื่องนี้มันใหญ่โตมาก”

เด็กสาวถอนหายใจ ไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอแหงนหน้ามองไปยังท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย ชายสูงอายุมองท่าทีของเด็กสาวอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ “ลุงเสียเวลาในชีวิตไปเยอะกับเรื่องนี้ ลุงไม่อยากให้หนูเหมือนลุง ตั้งใจเรียนแล้วทำงานหาเงินดีกว่า คนตัวเล็กอย่างพวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก”

 

เวลาผ่านไปหนึ่งปี เด็กสาวเดินมานั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดิมที่เคยนั่งกับชายสูงอายุ เธอหันซ้ายหันขวาสลับกับมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ จนกระทั่งเธอเห็นชายสูงอายุในชุดออกกำลังเดินมา ทั้งคู่จำกันได้ ชายสูงอายุเดินมาถึงเก้าอี้ที่เด็กสาวนั่งอยู่ เด็กสาวยิ้มและยกมือไหว้ ชายสูงอายุรับไหว้ ยิ้มน้อยๆ

“เป็นไงหนู”

“หนูมานั่งรอลุงตั้งนาน”

“รอลุงเหรอ” ชายสูงอายุทำหน้าแปลกใจ

“ใช่ค่ะ ลุงนั่งกับหนูไหมคะ” ชายสูงอายุนั่งลงข้างเด็กสาวด้วยท่าทีไม่แน่ใจ “ลุงมาออกกำลังเหมือนเดิมใช่ไหมคะ”

“ใช่ มาเดินรอบสวนเหมือนทุกวัน ก็มันเข้าไปข้างในไม่ได้นี่” ชายสูงอายุหัวเราะเบาๆ “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมมารอลุง”

“หนูจะมาเล่าว่าหลังจากที่คุยกันวันนั้น หนูไม่เชื่อที่ลุงแนะนำ” เด็กสาวเล่าด้วยเสียงสดใส “หนูเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนในมหา’ลัยฟัง ตอนแรกไม่มีใครเชื่อหนู จนวันหนึ่งที่หนูไปเจอเพื่อนที่มหา’ลัยอื่นที่รู้เรื่องนี้ เราก็รวมตัวกันแอบไปทำลายฉากตามที่ต่างๆ ห้องสมุดมั่ง แหล่งเรียนรู้มั่ง ข้างในไม่ได้สวยงามอย่างฉากที่เขาวาดไว้จริงๆ ด้วย ส่วนใหญ่มันเป็นตึกร้าง”

ชายชราเลิกคิ้ว ตาโต เมื่อได้ยินที่เด็กสาวเล่า

“ตอนแรกคนที่เดินผ่านไปมาเห็นสภาพจริงที่อยู่หลังฉาก เขาก็ตกใจนะคะ มายืนดูกัน แต่แค่วันสองวัน พวกนั้นก็มาซ่อมฉากพวกนั้นให้เป็นเหมือนเดิม แล้วคนก็ไม่สนใจมันอีก”

“อีหนูเอ๊ย” ชายสูงอายุครางออกมา

“หนูเลยคิดว่าทำแค่นี้แก้ปัญหาไม่ได้เหมือนที่ลุงบอก พวกเรานั่งคิดกันหลายเดือน จนมีคนในกลุ่มเรามาบอกว่าเขาได้ข้อมูลสำคัญมา พวกเราจึงเปลี่ยนแผน แผนของเราคือต้องทำให้ทุกคนเห็นความจริงพร้อมกันในครั้งเดียว”

“นี่หนูจะทำอะไร” ชายสูงอายุถามเสียงจริงจัง

“หนูมารอลุงเพราะอยากขอบคุณที่ลุงเล่าประสบการณ์ของลุงให้หนูฟัง มันทำให้หนูเข้าใจและวิเคราะห์ปัญหาได้ดีขึ้น และที่ลุงเคยบอกว่ามันเปลี่ยนอะไรไม่ได้น่ะ หนูไม่เชื่อ” เด็กสาวยกนาฬิกาขึ้นมาดู “เพราะเดี๋ยวลุงจะได้เห็นไปพร้อมกับหนูตอนนี้ค่ะ”

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองไปบนด้านบน ชายสูงอายุมองตาม เขามองเห็นก้อนเมฆสีขาวลอยเป็นหย่อมบนพื้นหลังสีฟ้าเหมือนทุกวัน แต่ที่ขอบฟ้าด้านหนึ่งมีเปลวสีส้มแดงสว่างขึ้นเป็นจุดเล็กๆ มันลามกัดกินท้องฟ้าอย่างเชื่องช้า แล้วก็เริ่มมีเปลวไฟลุกไหม้จากขอบฟ้าด้านอื่นๆ

ชายสูงอายุผุดลุกขึ้นมองด้านบนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง คนขี่มอเตอร์ไซค์วินที่กำลังรอลูกค้าต่างชี้ชวนกันให้ดูท้องฟ้า คนที่เดินไปมาบริเวณนั้นต่างหยุดเดินแล้วแหงนหน้ามองสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเหนือหัวแล้วถ่ายคลิป

ไม่นานนักเปลวไฟสีส้มแดงก็เผาไหม้ท้องฟ้าสีสดใสหายไป เผยให้เห็นผืนสีเทาหม่นปรากฏแทนที่ เมฆดำทะมึนลอยแผ่เต็มฟ้า กลิ่นไหม้และขี้เถ้าล่องลอยอ้อยอิ่งในอากาศ เศษผ้าที่ผูกยึดกับโครงไม้ไผ่ชิ้นเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งตกลงมาตรงหน้าชายสูงอายุ เขาก้มลงหยิบขึ้นมาดู

“ฉิบหายเอ๊ย ลุงไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย” ชายสูงอายุหันไปมองหน้าเด็กสาว

เธอยิ้มให้เขาแล้วพูดด้วยเสียงสดใส “อย่างที่บอกว่าหนูไม่เชื่อคุณลุง เราเลยวางแผนทำลายฉากที่ใหญ่ที่สุด ตอนนี้ทุกคนได้เห็นความจริงพร้อมกัน และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงค่ะคุณลุง” •