ทราย เจริญปุระ : ฉันไม่อยากให้แม่เป็นแบบนี้

"ความจงรักภักดี และเรื่องอื่นๆ" (Loyalty and Other Stories) เขียนโดย ริวโนะสุเกะ อะคุตะงะวะ แปลโดย วาด รวี ฉบับพิมพ์รวมเล่มโดยสำนักพิมพ์สมมติ, 2560

นี่เป็นรอบที่สามแล้ว

รอบที่สามที่ฉันต้องทบทวนชื่อตายาย ชื่อพ่อ ชื่อฉันกับน้อง

บอกเล่าความสัมพันธ์ของคนต่างๆ เหล่านั้น กับผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งรอตรวจอยู่ข้างนอก

-แม่-

ฉันยอมรับว่า ถึงแม้จะพยายามทำเสียงให้สดใส และบอกกับตัวเองในแง่ตรรกะและเหตุผลมากเท่าใด การต้องส่งตัวแม่แท้ๆ มารับการรักษา เป็นคนไข้ใน ใช้ชีวิตร่วมครึ่งเดือนอยู่ที่โรงพยาบาลเฉพาะทางเพื่อรักษาโรคทางจิตเวช ก็ไม่ใช่เรื่องจะทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ

ทางหนึ่งมันเหมือนการประกาศความพ่ายแพ้

ว่าฉันไม่สามารถรับมือกับแม่ได้

ว่าฉันดูแลแม่ไม่ได้

ว่าฉันทำตามที่พ่อได้สั่งเสียไว้ไม่ได้

แต่อีกด้าน มันก็ดูจะเป็นทางออกที่ดี

เพราะสิ่งที่แม่เป็นและมีแนวโน้มจะเป็นต่อไปมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น

ไม่เกิดผลดีกับใครเลย

 

“ชุริเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด หมกตัวอยู่ที่ห้องนั่งเล่นทุกวัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็เจ็บปวดทรมาน บ่อยครั้งหากเป็นไปได้ เขาไม่ต้องการรับรู้การมีอยู่ของตัวเองอีกต่อไป แต่เส้นประสาทซึ่งกำลังถูกทิ่มแทงอยู่กลับไม่ยอมอนุญาต เขาเหลียวมองรอบกายอย่างงุ่นง่านราวตกอยู่ในหลุมทรายของแมลงช้าง ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่มีเพียงคนรับใช้ที่เป็นมรดกของครอบครัว พวกเขาไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของชุริเลยแม้แต่น้อย ทำได้แค่อยู่กันไปวันๆ อย่างเปล่าประโยชน์ “ข้าเจ็บปวดทรมาน แต่ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจความเจ็บปวดของข้า” ยิ่งคิดเช่นนี้มีแต่ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว”*

บรรยากาศในบ้านแย่ลงเรื่อยๆ แม่เอาแต่ร้องไห้ตลอดเวลา เจ็บขา ปวดตา ปวดหัวจะระเบิด นัยน์ตามืดมัวมองไม่เห็น ผื่นคันขึ้นตามตัว แม่จะเจ็บอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ฉันกับน้องไปดูแล ไปหายามาให้กิน พาไปหาหมอ ทายาลงไปบนผิวหนังอันว่างเปล่าไร้รอยขีดข่วนหรือบาดแผลฟกช้ำ ไม่มีแม้กระทั่งรอยแดงที่อาจระบุว่าเป็นต้นเหตุแห่งความคันระคาย

ยิ่งสัมผัสจับต้อง แม่ก็ดูจะยิ่งปวดเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ

แม่ไม่ยอมหลับตอนกลางคืน ลุกเดินโผเผไปมาในความมืดของบ้าน กรีดร้องและสาปแช่งใครที่ลงมาให้แม่ได้เห็น ว่าลูกล้วนเนรคุณอกตัญญู แม่ปลุกทุกคนขึ้นมาตอนตีสี่ให้มากินข้าวด้วยกัน ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของน้องฉันเมื่อทำอะไรให้ไม่ทันใจ จิกแขนจิกขาฉัน แล้วร้องไห้

ร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนฉันรู้สึกเหมือนกับว่า บ้านทั้งหลังกลายเป็นศาลาสวดศพขนาดใหญ่ เป็นดินแดนแห่งคนตายและภูตผีที่มีแต่ความหม่นเศร้าป่วยไข้

ฉันไม่อยากให้แม่เป็นแบบนี้

แต่ฉันก็กลัว

 

ฉันอยากให้แม่หาย

แต่ก็ไม่อยากให้แม่หายในเวลาเดียวกัน

ฉันกลัวว่าถ้าแม่หายดี แม่จะทำเหมือนเดิม ยึดทุกการตัดสินใจกลับไปครอบครองเหมือนเดิม คำสั่งนั้นไม่ใช่แค่คำสั่ง ที่คือถ้อยคำจากพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดที่สลักมาบนหิน และฉันกับน้องมีหน้าที่แค่นำไปปฏิบัติให้ลุล่วง

ตอนนี้ฉันรู้เสียแล้วว่าการเป็นนายตนเองนั้นดีอย่างไร

และถ้าแม่หาย และแม่จะกลับมาทำเหมือนเดิม

เราก็ต้องทะเลาะกัน

ฉันเกลียดการทะเลาะ

แต่ฉันยอมแม่เหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

 

“บางทีเบื้องหลังความจงรักภักดีจนเกินงามนี้ อาจแฝงไว้ด้วยความทะเยอะทะยาน อยากช่วงชิงบ้านหลังนี้หากสบโอกาสก็เป็นได้ […]ถ้าข้าตามใจ “นาย”

“บ้าน” จะตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าข้าทำเพื่อ “บ้าน” ข้าจะต้องขัดใจ “นาย””*

แม่ไม่พูดอะไร เปลี่ยนชุดเป็นของทางโรงพยาบาลแล้วก็ลงนั่งกินข้าว

พยาบาลแจงกติกา ระเบียบ ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติในการเข้าเยี่ยมผู้ป่วยให้ฉันฟัง

ห้องนั้นสะอาดและใหม่ชนิดแทบจะหลับตาเห็นคนงานเพิ่งเก็บสีทาผนังออกไปหมาดๆ

ผ้าม่าน ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอนสียังสดใหม่เหมือนไม่เคยผ่านการใช้งาน

ถ้าเป็นแม่คนเดิมต้องบ่นแล้วบ่นอีก หรือไม่ก็เดินฉับๆ ลงไปที่รถ ยกเอาอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวมาแปลงโฉมให้ห้องอันเร่อร่านี่กลายเป็นมุมพักผ่อนละมุนตาแบบที่แม่ชอบ

มองไปข้องนอกเห็นทิวไม้

แต่เมื่อปรับตาให้เห็นระยะที่ใกล้กว่านั้นมันคือเหล็กดัด

ให้ดัดสวยงามอ่อนช้อยอย่างไรมันก็คือกรงขัง

ขังแม่ไว้ในนี้

กั้นออกจากโลกภายนอก

กั้นแม่จากคนที่เคยเป็น

ลดรูป ทอนรายละเอียด

ให้เหลือเพียงหญิงผมหงอกกระดำกระด่าง เดินช้าๆ ด้วยคราบน้ำตาค้างแก้ม

ในชุดโรงพยาบาลบ้า……

———————————————————————————————————————
*ข้อความจากในหนังสือ