เปิดรอยรั่ว ‘ภัทราวดี มีชูธน’ ยอมรับชีวิตจริงเคยเป็นนางร้าย/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง

 

เปิดรอยรั่ว

‘ภัทราวดี มีชูธน’

ยอมรับชีวิตจริงเคยเป็นนางร้าย

 

หลายคนที่เคยเจอครูเล็ก “ภัทราวดี มีชูธน” เมื่อหลายปีก่อน แต่พอมาพบในวันนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอดีตนักแสดงชื่อดัง รางวัลตุ๊กตาทอง คนนี้เปลี่ยนไปมากทีเดียว

ส่วนจะเปลี่ยนไปอย่างไรนั้น รอฟังจากเจ้าตัวดีกว่า ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะให้สัมภาษณ์แบบยาวๆ

“มติชนสุดสัปดาห์” มีโอกาสสนทนาในหลากหลายหัวข้อ เพราะปัจจุบันศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ละครเวทีและภาพยนตร์) ปี 2557 ห่างหายไปจากวงการบันเทิง อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ใช้เวลาไปกับงานบริหาร-งานสอนที่โรงเรียนภัทราวดี หัวหิน ซึ่งเธอเป็นเจ้าของเอง บนเนื้อที่ 100 ไร่ รวมทั้งวิกหัวหินด้วย

ล่าสุด เธอเป็นผู้กำกับฯ และร่วมแสดงในละครออนไลน์เรื่อง “เสน่ห์รอยรั่ว” Nothing is Impossible อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเสน่ห์รอยรั่ว สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่ง ดร.อุดม หงส์ชาติกุล ผู้ก่อตั้ง Imagine Thailand Movement เป็นผู้ชักชวนครูเล็กให้เข้าสู่เวทีผู้ร่วมสร้างสังคมสุขภาวะ ขณะที่ก่อนหน้านี้เธอก็ร่วมงานในหลายโครงการที่ สสส.สนับสนุน

แม้อายุ 74 ย่าง 75 ปีแล้ว แต่หน้าตาสดใส ผิวพรรณเต่งตึง

ครูเล็กบอกว่า “สาเหตุที่ผิวพรรณดีขึ้น เพราะกินอาหารดี กินผัก กินน้ำ ดิฉันบอกเด็กๆ ต้องกินน้ำทุกวัน สมองจะได้สดชื่น เพราะการกินน้ำเป็นเรื่องใหญ่มากของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เลยต้องกินน้ำเยอะ”

“สุขภาพตอนนี้ดีหมด ไม่มีโรคอะไรเลย”

เมื่อคุยกันถึงเรื่องในอดีต หลายคนเคยเจอตอนครูเล็กวีนแตก เจ้าตัวเอ่ยปากยอมรับว่า “ในอดีตดิฉันมีปัญหาโรคภัยไข้เจ็บทางจิตเยอะ เพราะเป็นคนโมโหร้าย เป็นคนเคียดแค้น ไม่ให้อภัยคน เป็นนางร้ายเหมือนในหนังในละครที่เขาเป็นกัน และมีความรู้สึกไม่มีความสุขก็หาวิธี พอดีเพื่อนๆ ไปนั่งสมาธิ ไปเรียนนั่งสมาธิกัน”

เธอว่าจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญ “คือวันที่แม่จากโลกนี้ไป (คุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ ผู้ก่อตั้งเรือด่วนเจ้าพระยา คุณพ่อ-นายสอาด มีชูธน อดีตอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม) พอแม่เสียยิ่งเป็นทุกข์ เพราะเป็นคนที่มีอิสระ ไม่ชอบรับสมบัติ ไม่ชอบภารกิจอะไรของแม่ ครอบครัวมีเรือด่วนเจ้าพระยา มีสมบัติ ตายโหงแล้ว ต้องมารับภารกิจอันนี้ ดิฉันเมื่อได้สมบัติแล้วทุกข์มากเลย จะเอาไปไว้ไหน จะเอาไปทำอะไร จะต้องไปกรมที่ดิน จะต้องไปนู่นนี่ ฉันไม่อยากไป ฉันอยากนั่งเล่นละคร ฉันสนุก”

“เพื่อนๆ ก็ชวนไปนั่งสมาธิ เลยเข้าใจว่าลมหายใจจากการนั่งอานาปานสติ เป็นลมหายใจเดียวกันกับลมหายใจที่เราฝึกการแสดง ซึ่งเป็นฝึกการแสดงเพื่อจะสร้างอารมณ์โกรธ อารมณ์นู่นอารมณ์นี่ และเราก็เป็นดาราเจ้าบทบาท เพราะสร้างอารมณ์ได้เก่งมากจากบทเรียนจากลมหายใจ แต่อานาปานสติเป็นลมหายใจที่ทำให้เราสงบเดียวกันเลย เราก็อ้าว! เอามาเชื่อมโยงกันสิ เริ่มหัด เวลาเล่นละคร ใช้ลมหายใจนี่แหละ แต่พอเสร็จแล้ว หรือกำลังจะปรี๊ด ก็ใช้ลมหายใจของอานาปานสติ…จบ”

“ชีวิตเปลี่ยนภายในข้ามคืน วิธีคิดเปลี่ยน ความทุกข์หายไปเรื่อยๆ และเริ่มไม่มองทุกข์ของตัวเอง เริ่มมองทุกข์ของคนอื่น จะช่วยเขาได้อย่างไร เมตตาจิตมันเกิด เมื่อเริ่มกำจัดปัญหาของตัวเองไปได้ ถึงจะมีเมตตาไปช่วยผู้อื่นได้ แต่ถ้าเรายังติดอยู่ในทุกข์จะไปช่วยใครได้อย่างไร เหมือนเป็นหนี้ และเมื่อใช้หนี้ใช้สินหมดแล้ว เริ่มมีตังค์ก็เริ่มไปช่วยคนอื่นได้ เริ่มไม่มีทุกข์แล้วนี่ เหมือนเหงา จะไปหาทุกข์ใหม่ ไปดูคนอื่นเขามีทุกข์อะไรไหม สนุกกว่า แล้วไปช่วยไป อุดรอยรั่วเขา ก็ทำมาเรื่อยเป็นนิสัย”

: สรุปว่าเปลี่ยนนิสัยและมุมมองได้ตอนอายุเท่าไหร่

ปีที่คุณแม่เสีย 20 ปีได้แล้ว ตอนนั้นอายุ 40 กว่ายังไม่ถึง 50 ปี โชคดียังเป็นวัยที่มีแรงที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็ทำมาเรื่อยๆ เริ่มจากการทำละครธรรมะในมูลนิธิละครธรรมะในพระสังฆราชูปถัมภ์

ก่อนหน้านี้ที่มีนิสัยไม่ค่อยดี มักมีอารมณ์สุดขั้ว ศิลปินส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ทุกคน เขาต้องมีอารมณ์ เพราะถ้าไม่มีเขาจะไปไม่รอด มันขึ้นไม่ได้ ต้องเป็นแบบเฟอร์รารี่ วิ่งช้าวิ่งฉิวได้ เพราะฉะนั้น มันถูกสร้างมา บางคนก็เพลิดเพลินกับสิ่งที่ถูกสร้างมา แต่ดิฉันเผอิญไม่ชอบเป็นทุกข์ ชอบเวลามีความสุข ขณะที่สุขมันแป๊บเดียว แต่ทุกข์มันเยอะ เลยหาทุกวิธีเลย ไปหาหมอผี หาจิตแพทย์ ตลกมาก ไม่มีใครเวิร์กเลย เพราะอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่เขา เราต้องอยากเปลี่ยน และเปลี่ยนง่ายๆ ด้วยลมหายใจเข้าออก จบ! เฮ้ย! จริงเหรอ มันก็ไม่เชื่อ พอทำแล้ว เฮ้ย! จริงและง่ายมาก

: เรื่องลมหายใจเข้า-ออกฟังดูง่าย แต่น่าจะทำยาก

ดิฉันบอกเด็กมาหายใจกัน เด็กมองหน้า อ้าว ก็หายใจอยู่ มาสอน นึกว่ามันง่าย คือต้องหายใจให้ถูกต้อง หายใจเข้าทางจมูกเหมือนดมดอกไม้หอม และปล่อยออกทางปากให้เป็นเสียง ในการนั่งสมาธิจะหายใจเข้าหายใจออกทางจมูก นั่งนิ่งๆ หายใจเข้าทางจมูกแล้วปล่อยออกมาเป็นเสียง ร้องเพลงหรือพูด หรือถ้าแรงให้หายใจเข้าทางปาก ออกทางปาก เราจะหายใจกันจนกระทั่งสามารถหายใจอย่างนี้ได้ในทุกโอกาส เป็นเรื่องอัตโนมัติ

อย่างวันหนึ่งดิฉันอยู่เชียงใหม่ มีคนโทร.มาครูเล็กไฟไหม้โรงละคร ถ้าเป็นแต่ก่อนคงตายล่ะ! พอเจอแบบนี้หายใจลึกๆ และบอก จะให้ฉันทำอย่างไร ฉันอยู่เชียงใหม่ เธอก็โทร.ไปหา 191 หรือไปปิดสวิตช์ไฟ หรือควรจะทำอะไร และบอกเด็กว่าอย่ากวนฉัน กำลังช้อปปิ้ง เขาก็จัดการกันเสร็จเรียบร้อย ถึงได้บอกว่าลมหายใจช่วยชีวิต ทำให้ตระหนักรู้เวลาทำอะไรไม่ค่อยดี พลาด พรุ่งนี้เริ่มใหม่ ยอมไปขอโทษที่ทำพลาด คิดใหม่ ขอบคุณเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะทำให้เราฉลาดขึ้น จบ! เห็นไหมก็ไม่มีตัวตน ไม่ไปโกรธคนอื่น

: ชีวิตอย่างครูเล็ก เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่น่าจะมีความทุกข์ ถ้าเทียบกับครอบครัวยากจน

มีสมบัติมากนี่ทุกข์ และทุกข์มากเลย เช้านี้จะใส่ชุดอะไร เคยเป็นไหม เช้านี้จะใส่ชุดอะไร ลองอยู่นั่นล่ะ ออกจากบ้านก็ไม่สวยสักที ออกมารถติดอีก

ตอนนี้ทรัพย์สมบัติดิฉันให้ลูกหมดแล้ว เหลือแต่พวกชุดเครื่องแต่งกายนี่แหละ ลูกๆ ก็ติดป้ายจองกันหมดแล้ว จะมอบให้คนนู้นคนนี้ เตรียมไว้หมดแล้ว รวมทั้งหนังสืองานศพก็เตรียมเสร็จแล้ว ตายเมื่อไรก็ได้ สั่งไว้เรียบร้อยแล้ว จะให้หายไปเลยจากโลกนี้ พวกคุณจะไม่ได้เห็นศพของฉันมานอนอืดชืดอยู่ เพราะไม่สนุก พอตายแล้วก็หายไปเลย ทุกคนก็จะจำได้ จะคุยถึงครูยังไงก็ได้ แต่ว่าครูเขาไปไหนแล้ว ไปอยู่ที่อื่น ไปเผาเงียบๆ อย่าให้ใครรู้ สงสาร โถ…ต้องแต่งตัวมางานศพ ต้องมีพวงหรีด ต้องมีนู่น ต้องมีนี่

ถ้าใครจะมาดูละครก็โอเค จะได้เอาเงินให้มูลนิธิ ให้เขาได้ประโยชน์ต่อ หรือมาซื้อหนังสืองานศพ ไม่แจกให้ จะขาย เพื่อนำเงินมาทำประโยชน์สร้างเด็กต่อ ไม่อย่างนั้น พวงหรีด 2 วันก็โยนทิ้งแล้ว อู้ฮูว! อันหนึ่งสามสี่พัน เสียดายเงิน บางทีไปงานศพนับดู อุ้ยตายแล้ว นี่เป็นแสน

: ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้ อยากจะแก้ไขรอยรั่วอะไรของตัวเอง

มันก็ยังมีเยอะ อย่างเช่น บางทีเห็นอะไรแล้วคิดว่า หืม มันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย เป็นคนมีความคิดเห็นเยอะ แต่เวลาพูดความคิดเห็นบางทียังพลาด ที่มี Negative ออกไปด้วย การแสดงความคิดเห็นต้อง Positive หมด บางทีมันยังอึ้ยยย! ทำให้เราอยากอยู่ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาใหม่ ถ้าไม่เช่นนั้นอยู่ทำไม ตายไปดีกว่าอายุป่านนี้แล้ว พอคิดอย่างนี้ทำให้อยากอยู่ เพราะพรุ่งนี้จะได้เอาใหม่

: ตั้งเป้าไว้อยากอยู่ถึงอายุเท่าไร

เมื่อไรก็ได้ เพราะเตรียมตัวไว้แล้ว การตายคือการหมดภาระหน้าที่ หมดเรื่องที่ต้องมานั่งปรับปรุงตัวเอง หมดแล้วก็สบายดี เพราะฉะนั้น จะไปเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้ามันยังไม่ไปต้องทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ

: มีหลักอะไรในการสอนลูกศิษย์

บอกเขาครูทำอะไร หนูก็ดูแล้วกัน ครูสอนอะไรหนูก็ฟังแล้วเก็บเอาไปใช้ แต่ละวันแต่ละเหตุการณ์ไม่เหมือนกัน อย่างดิฉันสอนภาษาอังกฤษ สอนวรรณคดี แต่สอนวิธีคิดไปด้วย ครูทำอะไร ครูพูดอะไรหนูฟังให้ดีๆ หนูอาจไม่เห็นความสำคัญตอนนี้ อีก 10 ปี 20 ปี หนูจะเห็น เหมือนที่แม่สอนตอน 8 ขวบ เราจะบอก แม่พูดอะไรไม่รู้ พอเราอายุ 60 ปั๊บ ปิ๊งขึ้นมาได้ว่า แม่เคยบอกว่า ที่ตรงนี้ยายเล็กจะต้องชอบ แล้วเรามายืนอยู่ตรงนี้ บอก เฮ้ย เราชอบ แต่ตอนนั้น 8 ขวบ เบื่อมากเลย ร้อน ตอนนี้ 60 ใช้เวลาตั้ง 50 กว่าปี กว่าจะฉลาด แต่อย่างน้อยก็ฉลาดเห็นไหม แม่เป็นคนฉลาด

ส่วนใหญ่ทุกคนมักดูถูกแม่เราเองว่างี่เง่า เรานี่เก่ง สมัยใหม่ แต่แม่เชย นู่นนี่นั่น พอมาถึงตอนนี้ เฮ้ย แม่ฉลาดมาก

ถึงตอนนี้คงได้เห็นแล้วว่าศิลปินแห่งชาติผู้นี้ พยายามปิดรอยรั่วของตัวเองจนสำเร็จ และยังมีจิตใจเผื่อแผ่ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ไปปิดรอยรั่วให้เด็กๆ ด้วย