โผทหาร ส่งท้าย ‘บิ๊กตู่’ ‘บิ๊กอ๊อบ’ ข้ามห้วย ‘วงศ์เทวัญ คอแดง’ ยึดเสือป่า ส่อง ‘ปลัดขัดตาทัพ’ ศึก จปร. ‘บิ๊กน้อย-ธรรมนัส’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

โผทหาร ส่งท้าย ‘บิ๊กตู่’

‘บิ๊กอ๊อบ’ ข้ามห้วย

‘วงศ์เทวัญ คอแดง’ ยึดเสือป่า

ส่อง ‘ปลัดขัดตาทัพ’

ศึก จปร. ‘บิ๊กน้อย-ธรรมนัส’

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยังไม่ส่งสัญญาณใดๆ ว่าจะมีการเปลี่ยนตัว ผบ.ทบ. หรือขยับ ผบ.ทหารสูงสุด

ดังนั้น การจัดโผโยกย้ายทหาร จึงเป็นไปตามปกติ โดยบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด นัดแนะให้ ผบ.เหล่าทัพ ส่งบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้าย ภายใน 12 สิงหาคมนี้ ก่อนที่จะส่งให้กลาโหมในวันที่ 17 สิงหาคมนี้

แต่ก็มีกระแสข่าว “ปลัดกลาโหมขัดตาทัพ” เพื่อมาคั่น เพราะบิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขะจันทร์ รองปลัดกลาโหม เป็นรุ่นน้อง ตท.24 และมีอายุราชการถึง 2568 สามารถรอได้

มีชื่อทั้งบิ๊กยอง พล.อ.ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง ผช.ผบ.ทบ. นายทหารสายรบพิเศษ เพื่อนร่วมรุ่น ตท.24 ของ พล.อ.สนิธชนก แต่ทว่า เกษียณก่อน ในกันยายน 2566 ด้วยเพราะที่ผ่านมา ปลัดกลาโหมมักจะมาจาก 5 เสือ ทบ.

แต่ทว่า มีแนวโน้มว่า พล.อ.ภูมิพัฒน์จะข้ามมาเป็นรองปลัดกลาโหม ร่วมทีม สป. กับ พล.อ.สนิธชนกมากกว่า แม้จะมีกระแสข่าวว่าจะให้เป็น ผช.ผบ.ทบ.ต่ออีก 1 ปีก็ตาม

และยังมีชื่อบิ๊กโต้ง พล.ร.อ.ธีรกุล กาญจนะ รอง ผบ.ทร. ที่อาจพลาดเก้าอี้ ผบ.ทร. แต่ด้วยความอาวุโส ทั้งรุ่นพี่ ตท.21 และครองอัตราพลเรือเอกพิเศษแล้ว และมีความชอบธรรมนั้น ก็เป็นแคนดิเดตปลัดกลาโหมขัดตาทัพอีกคน

แต่ก็ยาก เพราะเก้าอี้ปลัดกลาโหมนั้น โดนเหล่าทหารบก ที่เป็นเหล่าทัพใหญ่ มีกำลังพลมากกว่า มีพลังแฝงทางการเมืองมากกว่า ยึดมาตลอด

ดังนั้น แม้จะมีชื่อบิ๊กป้อม พล.อ.อ.ธนศักดิ์ เมตะนันท์ รอง ผบ.ทอ. เตรียมทหาร 22 ที่ครองอัตราพลอากาศเอกพิเศษ หากพลาดตำแหน่ง ผบ.ทอ. จะมาเป็นปลัดกลาโหมก็ตามที จึงยากที่ฝ่ายทหารบกจะยอมให้ทหารเรือ หรือทหารอากาศ เป็นปลัดกลาโหม

หรือแม้แต่ชื่อของบิ๊กกวาง พล.อ.สันทัศน์ นันทิภาคย์หิรัญ ผอ.ทหารผ่านศึก รุ่นพี่ ตท.21 ที่ก็เป็นน้องรักอีกคนของ พล.อ.ประยุทธ์ก็ตาม

แต่กองหนุนของ พล.อ.สนิธชนกแน่นกว่า โดยเฉพาะบิ๊กหน่อย พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกลาโหม ที่คาดว่าจะเสนอชื่อ พล.อ.สนิธชนกแทนตนเอง

พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์

ขณะที่ บก.ทัพไทย แจ้งวัฒนะนั้น มีสัญญาณชัดที่จะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ อย่างบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี หัวหน้าคณะนายทหารฝ่าย เสธ.ประจำ ผบ.ทบ. ที่จะข้ามห้วยมาเสียบกล่องดวงใจทัพไทย นั่งเป็นเสนาธิการทหารคนใหม่ เดินตามรอย พล.อ.เฉลิมพล

นั่นหมายถึง การมาเตรียมเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป และจะเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ทหารคอแดง คนที่ 2 ต่อจาก พล.อ.เฉลิมพล ที่จะเกษียณกันยายน 2566

จากเดิมที่ใน บก.ทัพไทยมีปัญหาความแปลกแยกระหว่างทหารคอแดง จาก ฉก.ทม.รอ.904 กับทหารคอเขียว ที่เป็นทหารส่วนใหญ่ในกองทัพ และกระแสตีกัน พล.อ.ทรงวิทย์ในการข้ามมาเสียบยอด เพราะมีคนในอย่างบิ๊กจ่อย พล.อ.ธิติชัย เทียนทอง รอง เสธ.ทหาร ต่อคิวอยู่

แต่ทว่า พล.อ.ธิติชัยเป็นทหารคอเขียว จึงทำให้เสียเปรียบ แถมทั้งคู่ชิงกลับเป็นเพื่อน ตท.24 ด้วยกัน แม้ว่า พล.อ. ทรงวิทย์จะไม่ได้เรียน จปร. แต่ก็มีรุ่นเตรียมทหาร แม้จะแทบไม่ได้เรียนกับเพื่อนเลย เพราะเลือกที่จะเดินทางไปเรียนนายร้อยเวอร์จิเนีย VMi สหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลให้ชีวิตเปลี่ยนในทุกวันนี้ คือไม่สามารถเป็น ผบ.ทบ.ได้ เพราะม่านประเพณี จปร.

ดังนั้น พล.อ.ทรงวิทย์จึงถูกส่งมาเป็น เสธ.ทหาร เพื่อเตรียมจ่อขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป ด้วยคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถ คอนเน็กชั่น และต้นทุนทางสังคม

จากเดิมที่มีข่าวว่า จะข้ามมาเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด ตามโควต้า ทบ.เท่านั้น แต่ที่สุด พล.อ.เฉลิมพลก็ต้องยอม แม้จะพยายามแก้ปัญหาการ “เสียบยอด” ก็ตาม

แต่ด้วยเพราะ ทบ.เป็นเหล่าทัพใหญ่ มีกำลังพลมากกว่า จึงต้องกระจาย ข้ามมาเติบโตใน บก.ทัพไทย ที่มีกำลังพลน้อยกว่าบ้าง

และดูเหมือนเป็นเหตุผล ตั้งแต่มีการจัดตั้งกองบัญชาการทหารสูงสุด จนกลายมาเป็นกองบัญชาการกองทัพไทย ก็เพื่อรองรับความไม่ลงตัวในการแต่งตั้งโยกย้ายในส่วนของกองทัพบก และเหล่าทัพนั่นเอง

ที่สำคัญ พล.อ.ทรงวิทย์ถูกมองว่าเหมาะกับการเป็น เสธ.ทหาร มากกว่ารอง ผบ.ทหารสูงสุด เพราะจะต้องทำหน้าที่ประสานงาน ประชุม และการฝึกกับมิตรประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี

จึงคาดว่า พล.อ.ธิติชัยจะขยับขึ้นรอง ผบ.ทหารสูงสุด ร่วมทำงานกับ พล.อ.ทรงวิทย์

ส่วนเก้าอี้รอง ผบ.ทหารสูงสุดอีก 1 ที่ ก็จะเป็นโควต้าของคนใน บก.ทัพไทยแทน โดยมีชื่อบิ๊กแอ๊ด พล.อ.ศิราวุฒิ วงศ์ขันตี ผบ.สปท. เตรียมทหาร 22 และบิ๊กบุ๋ม พล.อ.สุวิทย์ เกตุศรี ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อความมั่นคง กองบัญชาการกองทัพไทย ( ผอ.ศปร.) เตรียมทหาร 23 ที่เป็นทหารม้าคอแดง น้องรัก พล.อ.เฉลิมพล เป็นแคนดิเดต

ทว่า การข้ามมาของ พล.อ.ทรงวิทย์ ทำให้นายทหารหลายคนต้องเกิดสภาพ “ชีวิตเปลี่ยน”

เช่น พล.อ.สุวิทย์ ที่เคยถูกมองว่าเป็นน้องรักทหารม้าคอแดง ที่ พล.อ.เฉลิมพลชวนให้ย้ายจาก ทบ.มาอยู่ บก.ทัพไทยด้วยกัน เพื่อที่จะมารอคิวเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคอแดงต่อ หรือเอามาเป็นตัวกันไม่ให้ พล.อ.ทรงวิทย์ข้ามมาเป็น เสธ.ทหาร เพราะถือว่าใน บก.ทัพไทยมีนายทหารคอแดงให้เลือกอยู่แล้ว

แต่ในที่สุด ก็อาจต้องหลีกทางให้ พล.อ.ทรงวิทย์มาเป็น เสธ.ทหาร และจ่อขึ้น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไปเลย เพราะพลังที่มากกว่า แข็งแกร่งกว่า และความรู้ความสามารถที่ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้ของ พล.อ.ทรงวิทย์นั่นเอง

เมื่อรู้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เป็น ผบ.ทหารสูงสุด ดังนั้น จึงมีกระแสข่าวว่า พล.อ.สุวิทย์อาจเบี่ยงเส้นทางไปเป็น ผบ.หน่วยทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) เพื่อไปคุมหน่วยที่มีกำลังทั่วประเทศ แม้จะไม่ใช่กำลังรบ แต่ก็เป็นกำลังทหารพัฒนา มือไม้สำคัญของ บก.ทัพไทยเลยทีเดียว ยังไม่ต้องรีบขึ้นเป็นรอง ผบ.ทหารสูงสุด เพราะเกษียณกันยายน 2567

แต่ก็อาจต้องไปตัดหน้ารองป๋อง พล.ท.อนุสรรค์ คุ้มอักษร เพื่อน ตท.23 ที่เป็นทหารม้าเหมือนกัน ที่เป็นรอง ผบ.นทพ.อยู่ แต่เป็นนายทหารม้าชายแดน ที่เป็นลูกหม้อทหารพัฒนา เพราะอยู่มายาวนานตั้งแต่ปี 2545 และผ่านมาทุกตำแหน่ง ขณะที่ พล.อ.สุวิทย์เป็นทหารม้าเมืองกรุง แต่ตอนเป็น ผอ.ศปร. ก็ทำงานพัฒนา งานมวลชนต่างๆ มาก่อนแล้ว และยังเป็นน้องรัก พล.อ.เฉลิมพล และเป็นที่รู้กันดีว่า ตำแหน่ง ผบ.นทพ. คุมนักรบสีน้ำเงินนี้ มักจะต้องเป็นสายตรง ผบ.ทหารสูงสุด

พล.อ.ธิติชัย เทียนทอง

นั่นเป็นปัญหาภายใน บก.ทัพไทย และถือเป็นธรรมชาติของการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ที่เก้าอี้สำคัญมีแค่ตัวเดียว ย่อมต้องมีทั้งคนสมหวัง และผิดหวัง ที่ พล.อ.เฉลิมพลก็พยายามแก้ไข ทำความเข้าใจมาตลอด

เพราะตั้งแต่เมื่อครั้งที่บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็น ผบ.ทบ.คอแดง และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ก็เป็นกำลังหลักในการส่ง พล.อ.เฉลิมพล น้องรัก ฟันฝ่าแรงต้านใน บก.ทัพไทย ให้ข้ามมาเป็น เสธ.ทหารคอแดงคนแรก โดยมีพลังคอแดงช่วยกรุยทางตามยุคเปลี่ยนผ่าน

มาครั้งนี้ 3 ปีต่อมา บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.คอแดง และ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ก็ส่ง พล.อ.ทรงวิทย์ น้องรักที่อยู่ทีมเดียวกัน เดินตามรอยเท้า พล.อ.เฉลิมพล ข้ามมาเป็น เสธ.ทหารคอแดงอีกคน

พล.อ.ทรงวิทย์จึงจะเป็นทหารราบคอแดงคนแรก ที่เป็น ผบ.ทหารสูงสุด ต่อจาก พล.อ.เฉลิมพล ที่เป็น ผบ.ทหารสูงสุดคอแดงคนแรก และเป็นทหารม้าคอแดงคนแรก และถือเป็นวงศ์เทวัญคอแดงคนแรกที่มาโตใน บก.ทัพไทย เพราะเติบโตมาจาก ร.11 รอ. ที่เคยเป็นกำลังรบหลักของ พล.1 รอ. ก่อนที่จะย้ายโอนไปเป็นหน่วยราชการในพระองค์ ในภายหลัง

และหาก พล.อ.สนิธชนกขึ้นเป็นปลัดกลาโหมในตุลาคมนี้แล้ว พอในปีต่อไป พล.อ.ทรงวิทย์ก็จะขึ้น ผบ.ทหารสูงสุด ร่วมทีม ผบ.เหล่าทัพ กับ พล.อ.สนิธชนก เพื่อนสนิท ตท.24 ด้วยกัน

พร้อมกับที่บิ๊กต่อ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผช.ผบ.ทบ. จาก ตท.23 ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. ที่จะเป็นการส่งไม้ต่อจาก ตท.20 ตท.21 และ ตท.22 ที่เป็น ผบ.เหล่าทัพในปัจจุบัน ก็จะเป็นคิวของ ตท.23 ตท.24 ต่อไป

ดังนั้น การข้ามมาเป็น เสธ.ทหาร ของ พล.อ.ทรงวิทย์ ในโยกย้ายครั้งนี้ จึงจะมีนัยยะสำคัญตรงที่ว่า หากมาเพื่อจ่อขึ้น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป ก็ย่อมหมายความว่า กำลังจะเกิดเป็น tradition ใหม่ของ บก.ทัพไทย ที่ ผบ.ทหารสูงสุด จะต้องเป็นทหารคอแดง เช่นเดียวกับ ผบ.ทบ. ที่ต้องมาจากทหารคอแดงเท่านั้น ตั้งแต่ พล.อ.อภิรัชต์ คนแรก และต่อด้วย พล.อ.ณรงค์พันธ์

พล.อ.สุวิทย์ เกตุศรี

ดังนั้น นายทหารชั้นนายพลคอแดง ที่ ทบ.มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ส่อเค้าให้เห็นถึงการชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.กันอย่างเข้มข้น ระหว่าง ตท.26-ตท.27 และ ตท.28 ที่เป็นทหารคอแดง ที่มีอายุไล่เลี่ยกัน

เพราะ พล.อ.ทรงวิทย์ หากขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดในตุลาคม 2566 ก็จะได้นั่ง 2 ปี โดยจะเกษียณกันยายน 2568 หากมองข้ามช็อต ก็ต้องเตรียมมองหานายทหารที่เหมาะสมมาสานต่อ

โดยมี 2 กลุ่มคือ นายทหารใน บก.ทัพไทยเอง ที่ในอนาคตอาจได้ไปฝึกหลักสูตรทหารคอแดง ของ ทม.รอ. และนายทหารคอแดงจาก ทบ. ที่อายุราชการเบียดๆ กันอยู่ ทั้งบิ๊กปู พล.ต.พนา แคล้วปลอดทุกข์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่เพิ่งจบหลักสูตรทหารคอแดง และคาดว่า โผนี้จะขึ้นแม่ทัพน้อยที่ 1 บิ๊กใหญ่ พล.ต.อมฤต บุญสุยา ผบ.พล.ร.2 รอ. ที่คาดว่าจะขึ้นรองแม่ทัพภาคที่ 1 บิ๊กตั้ง พล.ต.ธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล ผบ.พล.ร.11 บิ๊กไก่ พล.ต.วรยส เหลิองสุวรรณ ผบ.พล.1 รอ. หรือทหารม้าอย่าง ผบ.มด พล.ต.อาจิณ ปัทมจิตร ผบ.พล.ม.2 รอ. ใครพลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ. ก็ยังมีเก้าอี้ ผบ.ทหารสูงสุด รองรับ

แต่กระนั้น ก็ต้องไม่มองข้ามปัญหาความแปลกแยกของทหารคอแดง และทหารคอเขียว ที่ต้องเปิดรูระบาย ให้ทหารคอเขียวได้เติบโต จนเป็นเบอร์ 1 บ้าง เพราะไม่เช่นนั้นจะเหลือแค่ปลัดกลาโหมตำแหน่งเดียว ที่ไม่ต้องมาจากนายทหารคอแดง

 

ปัญหาความขัดแย้งในกองทัพจากการแต่งตั้งโยกย้าย การแย่งชิงเก้าอี้ ทำให้เกิดศึกสายเลือดเตรียมทหาร และสายเลือด จปร.มาตลอด ทว่า ไม่ใช่แค่ในกองทัพ แต่ลามยาวไปจนถึงสนามการเมือง ที่มีอดีตนายทหารไปเล่นการเมืองกันมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคพี่น้อง 3 ป.

แม้แต่พี่น้อง 3 ป. ป้อม ป๊อก ประยุทธ์ ก็ยังมีรอยร้าว แม้จะยังไม่แตกหัก แต่ก็ทำให้คนรอบข้างมีปัญหาไปด้วย

โดยเฉพาะนายทหารเก่ารอบกายบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พี่ใหญ่และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

จน พล.อ.ประวิตรต้องทำหน้าที่หย่าศึกและหาทางให้น้องๆ คืนดีกัน โดยเฉพาะคู่ของบิ๊กน้อย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่รวมพรรคเดียวกัน แต่เกิดความไม่เข้าใจกันจน พล.อ.วิชญ์ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย มาตั้งพรรครวมแผ่นดิน

มีรายงานว่า พล.อ.ประวิตรมาเหนือเมฆ ใช้โอกาสที่ พล.อ.วิชญ์จะมาพบที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่ออำลาไปตั้งพรรครวมแผ่นดิน จึงนัดแนะให้ ร.อ.ธรรมนัสมาพบ เพราะทั้งคู่ยังไม่เคยเจอหน้ากัน ตั้งแต่มีเรื่องและพยายามหลบหน้ากัน

เมื่อมาเจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย ร.อ.ธรรมนัส รุ่นน้อง ตท.25 จปร.36 จึงยกมือไหว้ กล่าวคำขอโทษต่อ พล.อ.วิชญ์ ที่เป็นทั้งรุ่นพี่ ตท.11 จปร.22 และเป็นผู้มีพระคุณ ที่ทำให้ ร.อ.ธรรมนัสได้มาใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร จนได้เติบโตในทางการเมืองแบบพาสชั้นเช่นทุกวันนี้

เมื่อเจอการขอโทษเช่นนี้ พล.อ.วิชญ์ที่เป็นพี่ และเป็นนายทหารสุภาพบุรุษ จึงยอมรับไหว้ ยอมรับคำขอโทษ โดยยืนยันว่า เรื่องมันจบไปแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว มันผ่านไปแล้ว

อีกทั้งต้องการให้ พล.อ.ประวิตรสบายใจ เพราะอุตส่าห์วางแผนให้ทั้งคู่มาเจอกันโดยต่างไม่รู้ตัว ด้วยเพราะ พล.อ.ประวิตรรู้ดีว่า ทั้งคู่ยังคงต้องทำงานร่วมกัน และตนเองยังต้องใช้งานน้องทั้ง 2 คนนี้ในทางการเมืองต่อไป

แต่ในใจ พล.อ.วิชญ์ และ ร.อ.ธรรมนัส จะเป็นอย่างไรนั้นไม่มีใครอาจหยั่งรู้ แต่รู้แค่ว่า ทั้งคู่ยังคงให้ความเคารพรัก พล.อ.ประวิตรไม่เปลี่ยนแปลง

 

จากนี้ก็คงยังเหลือคู่ของ พล.อ.ประวิตรกับบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หลังจากเกิดกระแสข่าว ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หนุนให้นั่ง รมว. มหาดไทยแทน พล.อ.อนุพงษ์ แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยืนยันว่า ยังไม่คิดปรับคณะรัฐมนตรีก็ตาม ที่ส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงกันเองในหมู่พี่น้อง 3 ป.

และแผนเดินเกมการเมือง ที่อาจแยกกันเดินคนละกระดาน แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะยังคงยืนยันว่า ยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐในตอนนี้ และกำลังคิดอยู่ว่าจำเป็นที่จะต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

แต่ความเคลื่อนไหวของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เปิดตัวเป็นหัวหน้าพรรคแล้วนั้น กำลังถูกมองว่าเพื่อเตรียมรองรับการโบยบินของ พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่

ในเมื่อพี่ป้อมก็มีทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมแผ่นดิน แถมด้วยพรรคเศรษฐกิจไทย แล้วไยน้องตู่จะมีพรรคสำรองบ้างไม่ได้ ทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคเทิดไท พรรคใหม่ของแรมโบ้ เสกสกล อัตถาวงศ์

เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ อันเป็นผลจากความขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจของพี่น้องสายเลือดทหารด้วยกันเอง ทั้งในสนามการเมือง ของทหารเก่า ทหารแก่ และทั้งในกองทัพ ที่อาจกลายเป็นสนามรบของทหารคอแดง กับทหารคอเขียว หรือแม้แต่ในหมู่ทหารคอแดงด้วยกันเองก็ตาม