ตร.ประกาศทำสงครามแก๊งคอล ซ้อนแผนจับ ‘นายหน้า’ ตัดวงจร กลับมาเป็น ‘อาชญากร’ ไม่ใช่เหยื่อ/บทความโล่เงิน

บทความโล่เงิน

 

ตร.ประกาศทำสงครามแก๊งคอล

ซ้อนแผนจับ ‘นายหน้า’ ตัดวงจร

กลับมาเป็น ‘อาชญากร’ ไม่ใช่เหยื่อ

สะเทือนมากเมื่อคนในวงการสีกากีโดนลูบคม จากกรณีอดีตนายพลตำรวจแชร์ข้อมูลเป็นวิทยาทาน ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมเป็นเพื่อนสนิทโทร.มายืมเงิน แล้วมีปัญหาในระบบจัดการแก๊ง โทร.ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นระบบอัตโนมัติบ้าง ไม่มีคนรับสายบ้าง

คนทั่วไปคิดทันทีว่า นับประสาอะไรกับประชาชนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา ถ้าเกิดหลวมตัวเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะพึ่งใคร

ต้นตอของปัญหาคือแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาละวาดอยู่ขณะนี้ ตั้งออฟฟิศอยู่ในกัมพูชา มีนักธุรกิจจีนเป็นนายทุน แม้นประเทศเพื่อนบ้านจะให้ความร่วมมือทางการไทย แต่ยังสะสางได้ไม่หมด เพราะมีคนไทยข้ามแดนมาร่วมขบวนการเรื่อยๆ

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2 ในฐานะหัวหน้าชุดชุดปฏิบัติการที่ 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ POLICE CYBER TASKFORCE (PCT) จับคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาตลอด จึงเสนอ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. ทำยุทธการเชิงรุกเพิ่ม นอกจากทลายรัง จับบัญชีม้า

นำมาสู่การปฏิบัติการชุดปฏิบัติการที่ 5 ศปอส.ตร. ร่วมกับบูรพา 491 ตัดวงจรคนไทยข้ามแดนไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยการจับกุมนายหน้า

เริ่มต้นด้วยการซ้อนแผนให้ตำรวจสายสืบปลอมตัวแฝงเข้าไปทำสมัครงาน จากนั้นเฝ้าติดตามพฤติกรรมขบวนการ จนถึงวันที่มีนายหน้ามารับเพื่อข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ เรียกกันว่า “ช่องทางธรรมชาติ คลองบ้านตาโจ๊ย ใกล้กับวัดป่าหนองเอี่อน สระแก้ว” ข้ามแดนไปทำงาน

ชุดพิเศษบูรพา 491 ได้เกาะติดตามไล่ล่าคนร้าย ใช้ยุทธวิธีคาบล็อก หยุดรถก่อนข้ามแดนได้ ที่ถนนสุวรรณศร มุ่งหน้าไปทางชายแดนไทย-กัมพูชา ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จับกุมนายอรรถชัย มีโพธิ์ อายุ 30 ปี ผู้ขับขี่รถกระบะอีซูซุ สีขาว ทะเบียน บบ 7208 สระแก้ว

จากการสืบสวนทราบว่านี่คือ “ตัวการใหญ่” ลักลอบพาคนไทยข้ามแดนไปทำทำงานที่กัมพูชาไม่ต่ำกว่า 100 คนแล้ว แจ้งข้อหา “ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวง พาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร” พร้อมยึดรถยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุเป็นของกลางในคดี

ต่อมาขยายผลจับกุมเพิ่ม หลังพยานหลักฐานความเชื่อมโยงผู้ต้องหาอีก 2 คน ได้แก่ น.ส.รุ่งฤดี อุดมดี อายุ 38 ปี ชาวอุบลราชธานี ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่นฯ และนายพงษ์ธนา พิมพา อายุ 36 ปี ข้อหาเดียวกันกับ น.ส.รุ่งฤดี

จากการตรวจสอบประวัตินายอรรถชัย พบว่าเคยถูกดำเนินคดีทั้งยาเสพติด, นำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร

นายอรรถชัยให้การรับสารภาพว่า ได้รับการประสานงานจากผู้ร่วมขบวนการในกัมพูชา ให้มารับคนไทยข้ามไปทำงาน โดยพาข้ามช่องทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นลำคลองเล็กๆ จะมีเรือพาข้ามแดนไป และมีคนมารับช่วงต่ออีก ตนได้ทำงานแบบนี้ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลายแก๊ง โดยจะส่งคนไปทำงานประมาณ 15-20 คนต่อเดือน รับค่าหัวเป็นเงิน 6,000 บาทต่อคน ล่าสุดที่ถูกจับกุมไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยังคงอยู่ในระหว่างการประกันตัวสู้คดี แต่ก็กลับมาทำงานเช่นนี้อีก เพราะชินและไม่รู้จะไปทำงานอะไร

การจับกุมนายหน้าตัวการคนนี้ สะเทือนซางแก๊งคอลเซ็นเตอร์กัมพูชามาก “บอสใหญ่” ถึงกับโพสต์เฟซบุ๊ก ตกอยู่ในสภาวะเลือดไหลออก สภาพเหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก

ทราบมาว่าจะมีขยายผลจัดการตัวการที่สูงกว่านี้ต่อไป

นอกจากนี้ ตำรวจ PCT รับตัวคนไทย 94 คน ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งกัมพูชา ในจำนวนนี้มีคนไทยที่ถูกออกหมายจับมากถึง 74 คดี โดยมีคดีสำคัญหลอกลวงเหยื่อมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท และคดีอ้างตัวเป็นตำรวจ สภ.แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี รวมอยู่ด้วย

ปฏิบัติการนี้นำโดย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ ศปอส.ตร. พร้อมด้วยคณะเป็นตัวแทนจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เดินทางมารับตัวคนไทย แบ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเหยื่อที่ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของกัมพูชา และเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ที่นำคนไทยกลุ่มนี้มาส่ง ผลักดันกลับประเทศที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสระแก้ว

พล.ต.ต.พันธนะเปิดเผยว่า การรับตัวคนไทยกลุ่มนี้เป็นความร่วมมือระหว่างตำรวจไทย และกัมพูชา ที่เฝ้าดูพฤติกรรมมานานหลายเดือน กระทั่งสนธิกำลังบุกตรวจค้นที่ทำการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งหมด 4 จุด เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 โดยจุดที่ 1 โรงแรมจิงเถิง เมืองประสีหนุ, จุดที่ 2 อาคาร 5 ชั้น ประตูสีแดง เมืองพระสีหนุ, จุดที่ 3 อาคาร 8 ชั้น ถนน 702 เมืองพระสีหนุ และจุดที่ 4 ตึก 3 ชั้นใกล้ชายแดนกรุงปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย จนควบคุมตัว 94 คนไทยได้

จากการเค้นสอบขยายผลการจับกุม ทำให้ทราบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวม 4 แก๊ง และระดับหัวหน้าแก๊งชาวไต้หวัน หลังจากสอบปากคำแล้วเสร็จ ก็มีพนักงานสอบสวนจากสถานีตำรวจที่ออกหมายจับผู้ต้องหา มารอรับตัวผู้ต้องหาตามหมายจับไปดำเนินคดี โดยแยกไปที่ สน.บางเขน 22 คน, สภ.เมืองอุดรฯ 4 คน, สน.พหลโยธิน 18 คน รวมทั้ง สภ.เมืองจันทบุรี 10 คน และ สภ.ท่าใหม่ อีก 25 คน

ขณะที่ พล.ต.ต.ธีรเดชบอกว่า ผบ.ตร.ให้ใช้มาตรการหลากหลายทุกมิติในการทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ฝากเตือนสติคนไทยที่กำลังมองหางาน หากเป็นงานที่ต้องไปทำในประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็น “แอดมิน” แต่เมื่อทำไปแล้วจะเป็นคอลเซ็นเตอร์

ถ้าตกหลุมพรางเข้าร่วมขบวนการไปแล้ว ต้องทำใจตอนกลับเข้าประเทศกลายเป็นอาชญากรทันที ไม่ใช่เหยื่อ