บางอย่างในความรักของเรา (20) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

James Michener in a writing workshop, Eckerd College, 1990.

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

บางอย่างในความรักของเรา (20)

 

ผมเดินเข้าไปในสำนักงานที่ผมมาเยือนเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ทุกสิ่งแลดูแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง

พนักงานขนส่งจอดรถไว้ด้านหน้ารอการลำเลียงกองหนังสือสู่สายส่ง ส่วนตัวเขายืนตรวจเอกสารจำนวนและปกหนังสืออย่างตั้งใจ ฝ่ายการตลาดถกเถียงเรื่องแบบปกผ่านเสียงโทรศัพท์ ส่วนเลขาฯ ของสำนักงานนั้นรื้อแฟ้มเอกสารอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอแลดูเหมือนกับชาวประมงที่งมหาไข่มุกในท้องทะเล มือของเธอกรีดไปตามสันแฟ้มทีละอัน ทีละอัน ก่อนจะบ่นกับตนเองเป็นระยะ จนเธอเหนื่อยและหย่อนตนเองลงบนเก้าอี้นั่งหน้าแป้นพิมพ์ดีดอีกครั้งที่เธอหันมามองเห็นผมซึ่งยืนแปลกหน้าอยู่ในที่แห่งนั้น

“มาหาใครหรือมาติดต่ออะไรหรือคะ?”

“ผมเอาบทที่หนึ่งและสองของงานแปลที่รับไปมาส่งให้บรรณาธิการตรวจ”

คำตอบของผมดูจะทำให้เธอนึกขึ้นได้ เธอว่ายขึ้นมาจากห้วงมหาสมุทร ละทิ้งการตามหาไข่มุกไปชั่วขณะ

“อ้อ น้องนั่นเอง งานเสร็จแล้วหรือ เร็วดีนะ”

“ไม่ครับ ยังไม่หมดเล่ม บรรณาธิการบอกให้ลองแปลบางบทมาดูสำนวนก่อน”

“เข้าใจๆ รอสักครู่นะ” เธอเอื้อมมือหยิบหูโทรศัพท์ยกหูโทรศัพท์ กดเบอร์ภายใน เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังอยู่สองสามครั้งก่อนที่ปลายสายจะรับสาย

“ขึ้นไปได้เลย บรรณาธิการรอน้องอยู่”

ผมกล่าวขอบคุณ มือกระชับแฟ้มที่นำติดตัวมา บันไดสูงชันที่ผมเคยเดินข้าม บัดนี้กลับแลดูชันกว่าเดิม น้ำหนักตัวผมเหมือนจะหนักขึ้น ไม่หรอก เป็นจิตใจของผมมากกว่า

มีบางสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในใจของผมอย่างบอกไม่ถูก

 

ผมเคาะแผ่นกระจกตรงบานประตู เพียงการเคาะครั้งแรก เสียงตอบรับให้เข้าไปในห้องได้ก็สวนทางกลับมา

ผมเปิดประตูเข้าไป ห้องเล็กๆ ดังกล่าวยังรกเรื้อไปด้วยกองกระดาษจำนวนมหาศาล

บรรณาธิการผู้นั้นเอนกายเข้ากับเก้าอี้ตัวใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นเพดาน ปล่อยควันบุหรี่ลอยขึ้นไปและขึ้นไป วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อลายสก๊อตตารางสีแดงปนดำ หนวดสีดำของเขาดูยาวเป็นปื้น ทว่า สีหน้าของเขากลับปลอดโปร่ง เขากวักมือเรียกผมด้วยท่าทีที่คุ้นเคย

“นั่งลงสิ รกหน่อยนะวันนี้ ฉันเพิ่งปิดต้นฉบับงานแปลเรื่องหนี่งลง ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนาพุทธ ปล้ำมาหลายเดือน ยากเอาการ แต่ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

บรรณาธิการเคาะบุหรี่ตัวใหม่ออกจากซองเบื้องหน้าเขา มันเป็นบุหรี่กรองทิพย์ที่ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติแสบคอมากทีเดียว เขาจุดบุหรี่ขึ้นสูบอย่างสบายอารมณ์ และเมื่อผมนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ยื่นบุหรี่ตัวหนึ่งให้ผม

“สูบบุหรี่เป็นไหม? เอาสักตัวไหม?”

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

“สูบเป็นครับ แต่ปกติผมสูบแต่บุหรี่เมนทอล บุหรี่รสอื่นผมไม่ถนัดเลย”

“เอ้ย อะไรกัน สูบแต่เมนทอลก็เป็นหมันกันพอดี” บรรณาธิการหัวเราะ “ลองแบบนี้ได้แล้ว ริจะเป็นนักแปล นักเขียน สองอย่างขาดไม่ได้ กาแฟดำเข้มๆ และบุหรี่รสจัด เพื่อนคู่คิด มิตรคู่เขียนดีนัก”

ผมรับบุหรี่จากมือบรรณาธิการ จุดมันขึ้นสูบ ในใจอดยิ้มไม่ได้ที่เขาช่างลอกเลียนคำขวัญของธนาคารแห่งหนึ่งให้กลายเป็นคำขวัญของคนทำหนังสือไปได้ ควันบุหรี่แรกแทรกลงในลำคอของผม มันแสบและขื่นคออย่างที่คาด ผมไอออกมาเล็กน้อย ก่อนจะสูบอีกครั้ง ครานี้ทุกอย่างราบรื่น ผมพ่นควันออกจากทางจมูก ห้องทั้งห้องที่เป็นห้องปรับอากาศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นบุหรี่

“ไหน ทางข้างล่างเขาบอกว่าเธอเอาตัวอย่างมาให้ดูหรือ ขอฉันดูหน่อย”

ผมยื่นแฟ้มที่เป็นงานแปลสองบทแรกของนวนิยาย “โปแลนด์” ให้บรรณาธิการ เขาเขี่ยเถ้าบุหรี่ลงยังที่เขี่ยที่ทำเป็นรูปนักเต้นบัลเล่ต์ ผมเองก็ถือวิสาสะทำเช่นนั้น บรรณาธิการพลิกสองสามหน้าแรกไปมาก่อนที่เขาจะหยิบนวนิยายโปแลนด์ขึ้นจากกอง เขาเปิดหน้าที่เป็นภาษาอังกฤษขึ้นเทียบกับงานแปลของผมและหยิบปากกาเคมีสีแดงขึ้นมาวงบางจุดบนหน้ากระดาษ เขาทำเช่นนั้นจนจบบทที่หนึ่ง

หลังจากนั้นเขาสูบบุหรี่อีกสองสามอึกและกดก้นบุหรี่เข้ากับที่เขี่ยบุหรี่พร้อมกับจ้องหน้าผมอย่างเป็นมิตร

“มีผิดพลาดอยู่สองสามจุดที่ฉันเห็นจากการอ่านผ่านตาคร่าวๆ Midwife ไม่ได้แปลว่าภรรยาคนกลางนะ แต่แปลว่าหมอตำแย ฉันคิดว่าตรงนี้เธอคงรีบแปลจากความคุ้นชิน ไม่ใช่จากการเปิดพจนานุกรม เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากในคำที่เราคิดว่ามีความง่าย มีความหมายง่ายๆ เรายิ่งต้องระวัง แต่ในส่วนอื่นโดยเฉพาะการแบ่งประโยค การใช้สำนวนเธอทำได้ดีทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าเธอเป็นเพียงนักศึกษาปีต้นๆ ฉันหวังว่าเธอจะก้าวหน้ากว่านี้ในอนาคต ตกลงฉันให้งานเธอทำ และถ้าหมดเล่มนี้แล้ว ฉันมีงานแปลให้อีกสามสี่เล่มรออยู่ เธอพอใจไหม?”

ผมดับบุหรี่ในมือ ความรู้สึกหนักอึ้งในใจจากการคาดหวังว่าจะทำได้หรือไม่ หายไปแล้ว กระนั้นก็ยังมีบางอย่างที่รบกวนจิตใจผมอยู่ เป็นเรื่องรบกวนจิตใจที่สำคัญอย่างยิ่งด้วย ผมรับแฟ้มคืนจากบรรณาธิการ ท่าทีที่อึกอักกระสับกระส่ายของผมคงเป็นสิ่งที่เขาสังเกตได้ “เธอมีอะไรอีกไหม ยินดีด้วยนะ”

“เป็นไปได้ไหมครับที่ผมจะขอเบิกค่าแปลล่วงหน้าอย่างน้อยก็ในส่วนที่ทำไปแล้ว”

 

สิ้นสุดคำร้องขอนั่นเหมือนการปลดเปลื้องบางอย่างไป บรรณาธิการผู้นั้นเคาะนิ้วชี้ของเขากับขอบโต๊ะเป็นจังหวะอยู่ชั่วครู่ เขากัดริมฝีปากแสดงท่าทีครุ่นคิดอย่างหนัก

“เธอคงยังไม่รู้สินะว่าสำหรับงานแปลเราจะจ่ายค่าจ้างในการทำงานเป็นยอดเปอร์เซ็นต์จากราคาขายที่คูณเท่ากับจำนวนพิมพ์ ส่วนมากก็จะอยู่ที่ห้าเปอร์เซ็นต์ เว้นแต่ว่างานชิ้นนั้นจะเป็นงานที่มีความยากเย็นหรือต้องใช้ความรู้มาก สำหรับเล่มนี้ฉันให้เธอถึงหกเปอร์เซ็นต์ได้เลย แต่ว่าเงินส่วนนั้นจะได้ก็ต่อเมื่อหนังสือถูกออกวางจำหน่ายแล้วหนึ่งเดือน ประมาณนั้น”

“แต่ดูจากท่าทีของเธอ ดูเหมือนเธอคงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินสินะ เอาแบบนี้” บรรณาธิการหยุดเคาะนิ้ว เขาจุดบุหรี่อีกตัวขึ้นสูบพร้อมกับยื่นซองบุหรี่ของเขาให้ผม ครานี้ผมปฏิเสธ

“ฉันจะจ่ายเงินให้เธอวันนี้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินที่คาดว่าเธอจะได้รับ อีกสามสิบเปอร์เซ็นต์เมื่อเธอแปลได้ถึงครึ่งเล่ม และห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือเมื่อเธอส่งต้นฉบับทุกบทครบถ้วนพร้อมสำหรับการจัดพิมพ์ พอใจไหม?”

ผมพยักหน้าตอบด้วยความยินดี เป็นความดีใจในเงินก้อนแรกที่หามาได้ในชีวิต

“แต่เนื่องจากว่าเราไม่มีวิธีจ่ายแบบนี้มาก่อน ฉันคงต้องเอาเงินส่วนตัวออกให้ก่อนในวันนี้ และฉันจะตั้งเบิกสำรองจ่ายกับฝ่ายการเงินทีหลัง เล่มนี้หนาเอาการน่าจะพิมพ์ออกมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบบาท” เขาพึมพำ “จำนวนพิมพ์ของเราอยู่ที่ขั้นต่ำสองพันเล่ม หกเปอร์เซ็นต์ของยอดขายน่าจะตกอยู่ที่…” บรรณาธิการเอื้อมมือของเขาหยิบเครื่องคิดเลข เขากดตัวเลขไปมาอยู่ชั่วครู่

“หมื่นแปดพันบาทโดยยังไม่หักภาษี ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของหมื่นแปดพันเท่ากับสามพันหกร้อย เอาเป็นว่าวันนี้ฉันเอาเงินให้เธอสี่พันบาท เศษที่เหลือนั้นเป็นค่ารถที่เธอใช้เดินทางมาที่นี่สองครั้งแล้ว”

 

“สี่พันบาท” ถ้อยความนี้ก้องในหูของผม จำนวนเงินนี้อาจไม่มากมายนักสำหรับใครบางคน แต่ในช่วงเวลานั้นที่ราคาก๋วยเตี๋ยวในมหาวิทยาลัยอยู่ที่ไม่เกินสิบบาท นั่นหมายความว่าผมสามารถใช้เงินจำนวนนี้ซื้ออาหารกลางวันกินได้นานเกินครึ่งปี

บรรณาธิการไขกุญแจลิ้นชักข้างตัวเขาหยิบธนบัตรใบละร้อยปึกหนึ่งออกมานับก่อนจะยื่นมันให้ผมก่อนจะหยิบบุหรี่ในที่เขี่ยบุหรี่ขึ้นสูบและเคาะเถ้าของมันตามมา ผมยกมือไหว้ขอบคุณเขาในขณะที่เขาเลื่อนกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม

“ช่วยลงชื่อและเซ็นยืนยันหน่อยว่าเธอรับเงินจากฉันไป ฉันไม่กลัวเธอโกงหรือบิดพลิ้วทิ้งงานหรอกนะ เอาเป็นว่าที่ให้ลงลายมือเพราะต้องให้ฝ่ายการเงินเขาเก็บหลักฐาน จะเอาซองกระดาษสำหรับใส่เงินไหม หรือว่าเธอพกมันติดตัวได้”

แทนการรอคำตอบ เขายื่นซองสีน้ำตาลให้ผม ก่อนจะยกหูโทรศัพท์โทร.ภายใน เสียงสนทนาในเรื่องราวข้อตกลงระหว่างผมกับเขาถูกส่งผ่านลงไป ผมตัดสินใจลุกออกจากที่นั่ง แต่บรรณาธิการรั้งผมเอาไว้ด้วยถ้อยคำ

“ไปกินข้าวเที่ยงกัน เธอคงยังไม่ได้กินอะไรมาแต่เช้า ฉันก็เช่นกัน ถือว่าเป็นวันที่ดีของเธอ ฉันจะเลี้ยงเธอเอง” •