พลิกแผนฆ่าอำพราง ผัวโหดรัดคอเมียสาว หวังฮุบมรดกร้อยล้าน ตร.ลุยอายัดศพพิสูจน์/อาชญา ข่าวสด

อาชญา ข่าวสด

 

พลิกแผนฆ่าอำพราง

ผัวโหดรัดคอเมียสาว

หวังฮุบมรดกร้อยล้าน

ตร.ลุยอายัดศพพิสูจน์

 

กลายเป็นเรื่องราวที่สุดแสนสะเทือนใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย สำหรับกรณีการเสียชีวิตของนักธุรกิจสาว ภายในบ้านพัก

ตอนแรกสามีของตัวเองระบุว่าเกิดจากการฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอกับราวผ้าม่าน

แถมยังระบุว่าสาเหตุที่ลงมือน่าเกิดจากการเสพกัญชา ยาลดความอ้วน และสุรา จนเกิดอาการหลอนดังกล่าว

พร้อมทั้งนำศพไปทำพิธีทางศาสนา โดยไม่ให้เพื่อนและญาติของผู้ตายได้เห็นศพเลยแม้แต่คนเดียว

กลายเป็นข้อข้องใจของบรรดาเพื่อนและญาติสนิท จนต้องนำเรื่องไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากไม่เชื่อว่านักธุรกิจสาวคนนี้จะตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง

และต้องชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ปล่อยปละละเลยในประเด็นที่เกิดความกังขาคาใจ เร่งสอบสวนจนพบพิรุธ และรุดไปอายัดศพเพื่อตรวจพิสูจน์ได้ทัน

สุดท้ายหลักฐานก็ชี้ชัดว่าเป็นฆาตกรรม เพื่อหวังผลในทรัพย์สินของภรรยา

แม้คนร้ายจะยังปากแข็ง แต่ด้วยพยานหลักฐานที่มัดแน่นขนาดนี้ ยากจะพลิกเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างแน่นอน

จับผัวโหด

ผัวโหดฆ่าเมีย-อ้างผูกคอเอง

เหตุการณ์สังหารโหดภรรยาตัวเองครั้งนี้ ปรากฎเป็นข่าวขึ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม โดย พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภาค 7 นำคณะตำรวจภูธรภาค 7 และ ผบก.ภ.จว.นครปฐม และ ผกก.สภ.โพธิ์แก้ว ร่วมแถลงผลการจับกุมนายสุชิน ไม้ชัยมงคล หรือนายจิงกวง เฉิน หนุ่มชาวจีนที่มาใช้สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ 235/2565 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม

ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและย้ายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดี

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 14 กรกฎาคม โดย น.ส.ปารวี เฉิน อายุ 39 ปี ภรรยานายสุชิน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลวิชัยเวชอ้อมน้อย จ.สมุทรสาคร โดยแจ้งกับแพทย์ว่า น.ส.ปารวีพยายามผูกคอตาย จนสามีคือนายสุชินไปเห็น จึงได้ช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล ขณะที่แพทย์ระบุว่า น.ส.ปารวีเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนถึงโรงพยาบาลแล้ว

จากนั้นนายสุชินจึงได้นำศพภรรยาไปทำพิธีที่วัดคลองอ้อมใหญ่ อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยเป็นการจัดงานโดยเร่งรีบ ไม่มีญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิทคนไหนได้เห็นศพ แถมยังบอกเพื่อนๆ ว่า น.ส.ปารวีเสียชีวิตจากการกินยาลดความอ้วน ดื่มสุรา และเสพกัญชาจนเสียชีวิต

ต่างจากที่แจ้งกับแพทย์ไว้ก่อนหน้านี้!!!

ขณะที่พิธีศพดำเนินการไป นางญาณนันท์ แก้วพิมล เพื่อนของ น.ส.ปารวี ก็เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์แก้ง เพื่อหารือถึงความผิดปกติของการเสียชีวิตของนางปารวี โดยระบุว่า เพื่อนได้บอกไว้ก่อนตายว่ามีปัญหากับสามี ถูกทำร้ายร่างกายเป็นประจำ พร้อมย้ำว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ให้เชื่อได้เลยว่านายสุชินเป็นคนทำร้าย และขอให้ตนมาเป็นผู้แจ้งความกล่าวโทษ

จึงไม่เชื่อว่าการตายของเพื่อนจะเป็นการฆ่าตัวตาย!!!

บ้านหลังเกิดเหตุ

วงจรปิดชัด-เชื่อฆาตกรรม

หลังจากรับข้อมูลจากเพื่อนของ น.ส.ปารวีแล้ว ก็พบว่าเกิดความผิดปกติ พล.ต.ท.ธนายุตม์ก็มีคำสั่งโดยใช้อำนาจตามมาตรา 15 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 419/2556 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 เรื่อง การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวน และมาตรการควบคุม ตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา บทที่ 4 ข้อ 2.5 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน

ประกอบด้วย พ.ต.อ.รณภพ พรอรุณ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน พ.ต.อ.พงษกร อุปพงษ์ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม และ พ.ต.อ.อรรถการ กองสุผล ผกก.สส.บก.ภ.จว.นครปฐม เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน

พร้อมกันนั้นมีคำสั่งให้อายัดศพเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงจากวัดคลองอ้อมใหญ่ ส่งไปชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลศิริราช

พร้อมกันนั้นจึงได้เร่งสืบสวนคลี่คลายข้อสงสัย ซึ่งจากการตรวจสอบบ้านพักใน อ.สามพราน จ.นครปฐม ที่ระบุว่าเป็นสถานที่เกิดเหตุที่ น.ส.ปารวีผูกคอตายนั้น เจ้าหน้าที่ตรวจสอบราวผ้าม่านหน้าต่างในห้องนอน ที่ใช้ผูกคอ แต่จากการจำลองเหตุการณ์พบราวผ้าม่านไม่สามารถรับน้ำหนักได้มากพอ

จึงเริ่มสงสัยคำให้การ!!

ไม่เพียงแค่นั้น จากการตรวจสอบบ้านที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นหลายคูหา เปิดเป็นบริษัทโรงงานผลิตเครื่องสำอางบริษัทสวยดี เซ็นเตอร์ ซึ่งมีกล้องวงจรปิดทั้งหมดถึง 18 จุด แต่จากการตรวจสอบพบว่าฮาร์ดดิสก์ของกล้องวงจรปิดถูกถอดไป

เมื่อสอบถามถึงฮาร์ดดิสก์ดังกล่าว นายสุชินก็บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมให้ตรวจสอบ

และเมื่อตรวจสอบประวัติ ก็พบว่า นายสุชิน แท้จริงแล้วเป็นคนจีน หลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ใช้เอกสารบัตรประชาชนปลอม

นำมาสู่การบุกจับกุมคาวัดกลางงานศพในข้อหาต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ส่งฝากขังที่เรือนจำกลางนครปฐมตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม

เป็นคดีแรกที่โดน!!!

ผู้เสียชีวิต

เผยหวังฮุบมรดกร้อยล้าน

และในที่สุดก็เจอหลักฐานสำคัญเมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดโดยรอบแทน แล้วก็พบภาพที่บันทึกไว้ช่วงกลางดึกวันที่ 14 กรกฎาคม ตรงจุดลานจอดรถของบ้านหลังดังกล่าวพอดี โดยเห็นภาพนายสุชิน ลากร่างของ น.ส.ปารวีขึ้นรถนั่งที่ด้านหน้าคนขับอย่างใจเย็น ใช้เวลากว่า 5 นาที จากนั้นปิดประตูรถ เดินเข้าไปในบ้าน แล้วถึงขับรถออกไปทางปากซอย

ชัดเจนว่ามีพิรุธ ไม่ได้พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามที่กล่าวอ้าง

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อสอบพยานแวดล้อม ก็พบว่า น.ส.ปารวีไม่มีเรื่องเดือดร้อน เนื่องจากเป็นนักธุรกิจที่มีเงินหมุนเวียนกว่า 70 ล้านบาทต่อเดือน แถมยังมีนัดจะไปศัลยกรรมความงามที่เกาหลีกับเพื่อน

จึงไม่มีเหตุจูงใจในการฆ่าตัวตาย

ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม พนักงานสอบสวนได้รับผลการตรวจชันสูตรพลิกศพจากโรงพยาบาลศิริราช โดยรายละเอียดสำคัญในรายงาน ขัดแย้งกับคำให้การของนายสุชิน และมีพยานหลักฐานเพียงพอเชื่อได้ว่า น.ส.ปารวีถูกนายสุชินฆาตกรรม พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อนายสุชินที่ถูกคุมขังในเรือนจำกลางนครปฐม ข้อหากระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และย้ายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย และกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป โดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดี

พร้อมตรวจสอบของกลาง ประกอบด้วย 1.เครื่องหนีบผมพร้อมสายไฟ 1 ชุด 2.เซิร์ฟเวอร์บันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิด 1 เครื่อง 3.ชุดกล้องวงจรปิดไร้สาย 360 องศา พร้อมเมมโมรี่การ์ด 1 ชุด 4.ตลับพลาสติกสีแดง-ดำ 1 ตลับ 5.แฟลชไดรฟ์ 16 GB สีดำ 2 อัน 6.ราวผ้าม่าน 2 ราว

ทั้งนี้ สาเหตุของการสังหาร เชื่อว่าเกิดจากที่ทั้งคู่มีปัญหาระหองระแหงกันมาเป็นเวลานาน และ น.ส.ปารวีมักถูกทำร้ายร่างกาย โดยทั้งคู่ได้จดทะเบียนสมรส จึงหารือเพื่อจะหย่าร้าง แต่ตกลงเรื่องทรัพย์สินไม่ได้

ต่อมา น.ส.ปารวีได้ปรึกษาทนายจนมีการตรวจสอบว่านายสุชินนั้นเป็นชาวจีนหลบหนีเข้าเมือง ใช้บัตรประชาชนปลอม ทำให้การสมรสเป็นโมฆะ ไม่จำเป็นต้องหย่าร้าง และไม่จำเป็นต้องแบ่งสินสมรส จึงกลายเป็นแรงจูงใจในการลงมือฆ่าภรรยาของนายสุชิน เพื่อฮุบสมบัติกว่าร้อยล้านไว้เพียงคนเดียว

แม้ในการสอบปากคำนายสุชินยังยืนยันปฏิเสธ ซึ่งก็ต้องต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป

แต่จากหลักฐานทั้งพยานแวดล้อม และหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ ย่อมทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น

เป็นเรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยความรัก และจบลงด้วยความตาย!!!