ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 กรกฎาคม - 4 สิงหาคม 2565 |
---|---|
คอลัมน์ | ศัลยา ประชาชาติ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
ศัลยา ประชาชาติ
คลัง-แบงก์ผวาหนี้รายย่อย
เอ็นพีแอลพุ่ง
รับดอกเบี้ย-เงินเฟ้อขาขึ้น
ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง นับเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง และต้องเร่งแก้ไข โดยตัวเลขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานล่าสุด ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2565 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 14.64 ล้านล้านบาท คิดเป็น 89.2% ต่อจีดีพี
เมื่อเร็วๆ นี้ มีเสียงเตือนจากนายแบงก์อย่างนายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นอะไรที่คาดเดาได้ยาก สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ส่งผ่านมาจากข้างนอก อย่างราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นมาก และเป็นต้นทุนที่ส่งผ่านไปอีกหลายๆ อย่าง
สิ่งที่กระทบไทยแน่ๆ และกระทบแล้วก็คือ “เงินเฟ้อ” ส่วนที่จะกระทบต่อไปก็คือ “ดอกเบี้ย” และสิ่งที่ไม่รู้ว่ารอระเบิดอยู่หรือเปล่า ก็คือ “หนี้ครัวเรือน”
“คนที่เป็นหนี้ครัวเรือน ก็เป็นคนรายได้น้อย ซึ่งคนกลุ่มนี้เมื่อเจอเงินเฟ้อ ก็เท่ากับว่าเงินในกระเป๋าน้อยลง เท่านั้นยังไม่พอ อีกเดี๋ยวดอกเบี้ยก็จะขึ้นอีก คนกลุ่มนี้จึงน่าเป็นห่วงที่สุด โดยคนเหล่านี้ก็คือ ลูกค้าของบริษัทต่างๆ เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ”
นายปิติกล่าวว่า ในเดือนสิงหาคมนี้ อัตราดอกเบี้ยของไทยจะปรับขึ้นแน่นอน เพราะสัญญาณมาชัดเจนแล้ว ตรงนี้น่ากังวล และต้องมาดูว่าทำอย่างไรจะช่วยกันลดภาระให้คนกลุ่มล่างได้ เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาวิกฤตหนี้ครัวเรือนขึ้นมาได้ ซึ่งประเทศไทยไม่เคยเกิด จึงมีประสบการณ์เรื่องนี้น้อยมาก
“การแก้หนี้ครัวเรือน เป็นสิ่งที่ทางสมาคมธนาคารไทยกำลังผลักดัน พยายามทำโครงการรวมหนี้ของกลุ่มแบงก์และน็อนแบงก์ เพื่อให้ภาระของลูกหนี้ในการผ่อนต่อเดือนลดลง นอกจากนี้ เจ้าหนี้กับลูกหนี้ก็ต้องเร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กัน” นายปิติกล่าว
นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวว่า จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนทั้งระบบ 14.64 ล้านล้านบาท เป็นหนี้สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล รวมกันอยู่ที่ 1.15 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 8% เท่านั้น ถือว่าเป็นสัดส่วนไม่มาก เพียงแต่ยังมีความจำเป็นต้องดูแลต่อเนื่อง
“มองไปข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับรายได้ครัวเรือนยังไม่ได้กลับมาเต็มที่ ขณะที่ภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น จากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผ่อนชำระต่อเดือน ทำให้ตึงตัวมากขึ้น” นายนริศกล่าว
น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 แนวโน้มหนี้ครัวเรือนยังเติบโตในกรอบจำกัดอยู่ที่ 3.5-3.7% ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 1 ที่เติบโต 3.6% โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในไตรมาส 2 คาดว่าจะต่ำกว่าไตรมาส 1 ซึ่งอยู่ที่ 89.2% ส่วนหนึ่งมาจากการจีดีพีที่โตขึ้น
“แม้ว่าสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะไม่ได้ขยับ แต่ภาระหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง โดยคาดว่ายอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไตรมาส 2 จะขยับมาอยู่ที่ 14.78 ล้านล้านบาท จากไตรมาส 1 อยู่ที่ 14.65 ล้านล้านบาท ซึ่งสินเชื่ออุปโภคบริโภคยังโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ยังคงเป็นตัวที่ต้องระมัดระวังในเรื่องของคุณภาพหนี้” นางสาวกาญจนากล่าว
ขณะที่นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ปัจจัยอัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และหนี้ครัวเรือนที่ปรับเพิ่มขึ้น ถือเป็นความท้าทายต่อเนื่องของสถาบันการเงิน ซึ่งออกจากวิกฤตโควิด-19 มาเจออีกวิกฤต ซึ่งเป็นปัจจัยที่เข้ามากระทบลูกหนี้ และการทำธุรกิจของธนาคาร
“ยอมรับว่าช่วงนี้ต้องประคองลูกหนี้ให้ดีๆ เพื่อให้สามารถผ่านพายุลูกใหม่นี้ไปให้ได้ ซึ่งทาง ธปท.ก็เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด (soft landing) อย่างไรก็ดี ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านจะกระเทือนถึงผู้ประกอบการ ลูกหนี้ และระบบของธนาคารพอสมควร” นายผยงกล่าว
โดยปัจจุบันลูกหนี้ที่อยู่ในโครงการความช่วยเหลือของ ธปท. ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ยังมีอยู่ 2.8 ล้านล้านบาท จำนวน 3.87 ล้านบัญชี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาในการชำะหนี้ แต่ได้รับความช่วยเหลือทำให้ไม่ตกชั้นเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ซึ่งกลุ่มนี้จำเป็นต้องประคองและแก้หนี้เป็น step ยอมรับว่าเป็นกลุ่มเปราะ บางรายอาจกลับมาชำระหนี้ได้ปกติ แต่บางรายอาจจำเป็นต้องยืดหนี้ออกไปอีก
นายธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ “LINE BK” กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ความแข็งแรงของเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน รวมทั้งค่าครองชีพทุกอย่างปรับตัวเพิ่มขึ้น นโยบายการปล่อยสินเชื่อของ LINE BK ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพอิสระ ยังคงมีความระมัดระวังต่อเนื่อง และจะมีความรัดกุมมากขึ้น ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงในเรื่องความสามารถการชำระหนี้ เพราะสัญญาณความเสี่ยงไม่ได้ปรับลดลงจากปีก่อน
ส่วนกลุ่มที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว ก็ช่วยเหลือในการยืดเวลาชำระหนี้ ปรับค่างวดผ่อน หรือปรับโครงสร้างหนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ประคองในภาวะเศรษฐกิจยังเปราะบาง รายได้หดตัวแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ยอมรับว่าสถาบันการเงิน รวมถึง LINE BK ยอมรับความเสี่ยงได้น้อยลง สะท้อนจากยอดการอนุมัติสินเชื่อปรับลดลงทั้งระบบ ขณะที่เอ็นพีแอลยังคงปรับเพิ่มขึ้น และสูงกว่าคาดการณ์ เนื่องจากความเสี่ยงไม่ได้ปรับลดลง
“เอฟเฟ็กต์ของเงินเฟ้อกระทบต่อกลุ่มรากหญ้าเต็มๆ ซึ่งยังเป็นกลุ่มที่มีความยากลำบากในเรื่องของการเงิน ในทางธุรกิจบริษัทก็ระวัง คุมเข้ม และรัดกุม” นายธนากล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กำลังพิจารณาเกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้ส่วนบุคคล ในสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น ที่ประชาชนมีภาระผ่อนบ้าน ที่อยู่อาศัย ซึ่งอาจจะต้องมีการออกแพ็กเกจทางการเงิน ออกมาปรับโครงสร้างหนี้ โดยใช้โมเดลเดียวกับการปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวก่อนหน้านี้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า หากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน ส่งผ่านไปถึงดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน ซึ่งถึงเวลานั้น ก็จะกระทบต่อต้นทุนของผู้ที่กู้เงินแน่นอน
ดังนั้น จึงขอความร่วมมือสถาบันการเงิน ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ อย่าให้กระทบกับลูกค้ามากเกินไป
สรุปแล้ว ทุกฝ่ายต่างเป็นกังวลกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่จะได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ก็ดูเหมือนจะยอมรับสภาพกันแล้วว่า ธปท.คงต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้วนั่นเอง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022