กราบ ‘ป้อม’ กระเทือน ‘ป๊อก’ | บทวิเคราะห์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังศึกซักฟอก บารมีทางการเมือง ดูจะเบ่งบานอย่างยิ่ง

ไม่บอบช้ำจากการถูกอภิปรายมากนัก

เพราะได้รับการปกป้องจาก ส.ส.พลังประชารัฐ คอยประท้วง คอยปกป้องประหนึ่งไข่ในหิน

ได้เสียงไว้วางใจสูงสุด เหนือพี่น้อง 2 ป. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เหนือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

แม้ว่า พล.อ.ประวิตรจะประกาศก่อนหน้าว่า ส.ส.รัฐบาลควรจะลงคะแนนเสียงให้ทุกคนเท่ากัน หรือไม่แตกต่างกันมากนัก

แต่ที่สุด พล.อ.ประวิตรก็เหนือกว่าน้อง 2 ป.

โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ ได้คะแนนต่ำเตี้ย จนชวนให้เกิดคำถามว่า พี่ป้อมได้ออกแรงช่วยน้องๆ โดยเฉพาะ 2 ป. อย่างเต็มที่ หรือไม่

นอกจากไม่ช่วยแล้ว จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หลายเรื่องยังสร้างประเด็นด้านลบให้น้องๆ อย่างหัวเราะไม่ออก ร่ำไห้มิได้

เช่น ระหว่างการชี้แจงในสภา ช่วงหนึ่ง พล.อ.ประวิตรปากลั่นว่า

“เรื่องของปฏิวัติผมก็ไม่เกี่ยวข้อง นี่ครับคนปฏิวัติ (ชี้ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์) ท่านนายกฯ คนเดียว ท่านอนุพงษ์ (เผ่าจินดา) ก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง คุณก็เอาผมไปเกี่ยวข้อง ผมยังไม่รู้เลยจะปฏิวัติเมื่อไหร่ 3 ป.อะไร พูดไปเรื่อย”

แม้หลังคำกล่าวของพี่ป้อม พล.อ.ประยุทธ์จะชูมือเหมือนการยอมรับ

แต่ก็ถูกมองว่านั่นเป็นภาวะหน้าชื่นอกตรมหรือไม่ เพราะเหมือนเป็นการสาดโคลนเข้าใส่น้องแบบดื้อๆ ด้วยใครจะเชื่อที่ พล.อ.ประวิตรจะไม่รู้เรื่อง

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็รับของร้อนไปเต็มๆ

แต่ที่น่าจะคับข้องใจมากกว่าก็คือ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ก่อนศึกซักฟอก มีข่าวกระเส็นกระสายออกมาว่า จะถูกจ้องล้มจากพรรคเล็ก และจากกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

แถมยังมีกระแสข่าวแว่วจากการประชุมพรรคพลังประชารัฐ ว่า พล.อ.อนุพงษ์ไม่เหมาะสมที่จะนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ควรเปลี่ยนให้ พล.อ.ประวิตรมาดำรงตำแหน่งแทน

ตามกระแสข่าว แทนที่ พล.อ.ประวิตรจะปฏิเสธเพราะเท่ากับเป็นการหักน้อง แต่ พล.อ.ประวิตรกลับแจ้งว่าหลังการซักฟอกจะเอาเรื่องไปแจ้งนายกฯ ให้ทราบ

นำไปสู่กระแสข่าวการเปลี่ยนแปลง มท.1 อย่างหนาหู

เพียงแต่กระแสข่าวตอนแรกยังมิได้เจาะจงไปยัง ส.ส.กลุ่มใด โดยต่างไปโฟกัสที่พรรคเล็กมากกว่า

จนเมื่อผลการลงมติซักฟอกออกมา ปรากฏว่า พล.อ.อนุพงษ์และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการพรรคพลังประชารัฐ ถูก 6 ส.ส.สมุทรปราการ ได้แก่ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ นายต่อศักดิ์ อัศวเหม ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.พริม พูลเจริญ นายยงยุทธ สุวรรณบุตร และนายอัครวัฒน์ อัศวเหม โหวตสวนไม่ไว้วางใจ

ทำให้คะแนนรัฐมนตรีทั้งสองคนออกมาต่ำเตี้ยอย่างใจหาย

การโหวตสวนครั้งนี้ มีการอ้างเหตุผลว่าเนื่องจาก พล.อ.อนุพงษ์ลอยตัว ไม่เอาใจใส่ ส.ส.

ขอโครงการพัฒนาจังหวัด ผ่านกลไกมหาดไทย หรือการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในพื้นที่ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแม้แต่น้อย

จึงมีความต้องการให้ “ปรับคณะรัฐมนตรี” โดยเปลี่ยนตัว “มท.1” จาก “พล.อ.อนุพงษ์” ไปเป็น “พล.อ.ประวิตร”

เพราะ ส.ส.ลูกพรรคเห็นว่า การร้องขออะไรกับ พล.อ.ประวิตรมีความคล่องตัว เข้าใจผู้แทนฯ มากกว่า

และยิ่งกว่านั้น การได้ พล.อ.ประวิตรมาคุมมหาดไทย ยังเป็นการขยายฐานการเมืองรับเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย

นายต่อศักดิ์ อัศวเหม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. ยอมรับอย่างเปิดเผยว่า ตลอดกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ส.ส.ในกลุ่มพยายามผลักดันการพัฒนาพื้นที่มาโดยตลอด แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

“การสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่เรื่องแปลก ควรได้ตำแหน่งที่เหมาะกับการเป็นหัวหน้าพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาล แปลกเสียอีกถ้าลูกพรรคไม่อยากให้หัวหน้าพรรคได้เป็น ยืนยันว่าปรารถนาดีด้วยซ้ำ” นายต่อศักดิ์ระบุ

นี่จึงมาถึงบางอ้อว่า กระแสการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จาก ส.ส.กลุ่มไหน

และที่สำคัญ พล.อ.ประวิตรเมื่อรู้แล้ว มีการพยายามสยบปัญหานี้หรือไม่ หรือปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

ส่วนนายสุชาติที่เจอโหวตสวนจาก 6 ส.ส.ปากน้ำ ด้านหนึ่งเพราะ 6 ส.ส.กลุ่มปากน้ำ ซึ่งสังกัดนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม มองว่า นายสุชาติพยายามเบ่งบารมีเข้ามาในพื้นที่ปากน้ำ โดยเฉพาะการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการในบางเขต ซึ่งย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับนายชนม์สวัสดิ์ และ 6 ส.ส.ปากน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะเห็นว่าเป็นการจงใจจะขยายบารมีเข้ามาในพื้นที่ตนเอง

ประกอบกับมีข่าวว่า นายสุชาติได้นำฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในสมุทรปราการที่แข่งขันกับนายชนม์สวัสดิ์ ไปเป็นทีมงาน มีการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ จึงสร้างความไม่พอใจให้ชนม์สวัสดิ์เพิ่มเข้าไปอีก

จึงเป็นเหตุของปฏิบัติการ “สั่งสอน”

โดยให้ 6 ส.ส.กลุ่มปากน้ำ โหวตสวนคว่ำนายสุชาติดังที่เห็น

แม้การโหวตสวนไม่ไว้วางใจ พล.อ.อนุพงษ์และนายสุชาติ จะมีที่มาที่ไปจากปัญหาในพื้นที่

แต่กระนั้น ยากจะปฏิเสธว่า ไร้ซึ่ง “เงี่ยงคม” ทางการเมือง

โดยหากพิจารณาจุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องการความเป็นเอกภาพในการผ่านศึกซักฟอก

ไม่มีใครควรจะถูกหักหลัง

แต่หวยก็ออกมากับ 1 ในแกนนำ 3 ป.คือ พล.อ.อนุพงษ์ และ 1 ในบุคลสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ ในระดับผู้อำนวยการพรรคอย่างนายสุชาติ

ซึ่งนั่นย่อมเรียกร้องให้มีการจัดการกับ “ความเป็นอื่น” ของกลุ่ม ส.ส.ปากน้ำ อย่างที่เคยปฏิบัติกับ ส.ส.ที่เคยแหกมติพรรค

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม

โดย 2 วันหลังจากการลงมติซักฟอก พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ พร้อมลงพื้นที่ จ.สมุทรปราการ เพื่อติดตามการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ

มี ส.ส.ของพรรคที่แหกมติพรรคมารอต้อนรับกันอย่างอบอุ่น

และนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ก็สร้างปรากฏการณ์ฮือฮา

เมื่อก้มลงกราบแทบเท้าของ พล.อ.ประวิตรเพื่อเป็นการขอโทษ

และนายกรุงศรีวิไลยังยืนกรานเช่นเดิมว่า ต้องการให้ พล.อ.ประวิตรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แทน พล.อ.อนุพงษ์ ที่เขียนโครงการอะไรไปก็ไม่ตอบรับ ไม่พิจารณางบประมาณให้

พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมกับ ส.ส.ปากน้ำ ปิดห้องหารือถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

ปรากฏว่า พล.อ.ประวิตรมิได้แสดงท่าทีไม่พอใจกับพฤติกรรมของ ส.ส.เหล่านี้

ตรงกันข้าม กลับมีท่าทีเข้าใจท่าทีของคนเหล่านั้น โดยบอกว่า

“เราก็ต้องรับที่เขาโหวตไปนะ”

“มันเป็นเรื่องความน้อยเนื้อต่ำใจของเขานะ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาขอโทษ”

เมื่อถามว่าจะมีการลงโทษหรือไม่ พล.อ.ประวิตรบอกกว้างๆ ว่า “ผมก็ต้องเอาเข้ากรรมการบริหารพรรค”

และย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ต้องสอบ มันทำไปแล้ว

เมื่อถูกถามย้ำว่า จะมีบทลงโทษหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า “ก็มีอยู่แล้ว”

ซึ่งไม่มีน้ำหนักที่บ่งชี้ถึงการลงโทษใดๆ

ยิ่งกว่านั้น เมื่อ พล.อ.ประวิตรไปพบปะประชาชน จ.สมุทรปราการ ยังไปให้สัญญากับชาวบ้านอีกว่า

“ขอขอบคุณประชาชนที่เลือกพรรคพลังประชารัฐให้มี ส.ส.ถึง 6 คน ถึงแม้จะได้ ส.ส.มาก แต่ยังไม่ได้รัฐมนตรี ไม่ต้องห่วง ยังไงก็ต้องได้ เพราะว่าอยู่มานาน ทำงานให้รัฐบาลดีแล้ว ก็ต้องได้รับการพิจารณา ปรับ ครม.เมื่อไหร่ก็ต้องได้เป็น” พล.อ.ประวิตรระบุ

ท่าทีของ พล.อ.ประวิตรชัดเจนอย่างยิ่ง

นั่นคือ หลังปรากฏการณ์ “กราบ” นอกจากจะไม่ลงโทษ ส.ส.ปากน้ำแล้ว

ยังให้คำมั่นที่จะให้ “รางวัล” ด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีอีกด้วย

พร้อมๆ กับที่กลุ่ม ส.ส.สมุทรปราการ ต่างตอบแทนด้วยการยืนกรานให้มีการปรับ ครม.

ด้วยการโยก พล.อ.อนุพงษ์ออกจากกระทรวงมหาดไทย แล้วแทนที่ด้วย พล.อ.ประวิตร

จึงดูเสมือนมีการ “วางเกม” ไว้ล่วงหน้า

อันสอดคล้องกับกระแสข่าวที่อื้ออึงในพรรคพลังประชารัฐ

อื้ออึงถึงการสมคบคิดร่วมกันระหว่าง ส.ส.ปากน้ำทั้ง 6 คนที่ถือเป็นสายตรงบ้านใหญ่อัศวเหม ภายใต้การนำของนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ที่ว่ากันว่า มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับคนใกล้ชิด “พล.อ.ประวิตร”

จึงนำไปสู่พฤติกรรมที่กลุ่มไลน์ในพรรคพลังประชารัฐ แสดงความไม่พอใจ “พล.อ.ประวิตร” ที่ปล่อยให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวกิจการพรรค ถึงขั้นระบุถึง “ผู้มีบารมีนอกพรรค” ที่กดดันให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี

 

แต่กระนั้น จะบรรลุผลหรือไม่ ยังเป็นคำถามอยู่

ด้วย พล.อ.ประยุทธ์ยืนกรานจะไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี

ท่ามกลางกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์หงุดหงิดกับข่าว 6 ส.ส.สมุทรปราการอย่างมาก

โดยตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใด 6 ส.ส.สมุทรปราการถึงกล้าทำถึงขนาดนี้

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์โยนไปให้นายกฯ โดยบอกว่า “จะปรับอะไรอยู่ที่นายกฯ และก็ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะปรับอย่างไร 3 ป.ไม่มีแตก 3 ป.อยู่กันมาค่อนชีวิตแล้ว 50 กว่าปีที่อยู่กันมาก็รู้ดี รองนายกฯ เป็นทั้งเจ้านายเก่า เป็นทั้งพี่เลี้ยงที่สอนผมมา เพราะฉะนั้น ไม่มีปัญหา ไม่แตกกันแน่นอน”

ซึ่งแม้จะมีการยืนยันเช่นนี้มาตลอด แต่ดูเหมือนเส้นทางแห่งอำนาจของพี่น้อง 3 ป.ก็มีร่องรอยแห่งการแตกร้าวให้เห็นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

จึงต้องติดตามดูว่า พล.อ.ประยุทธ์จะตอบสนองปฏิบัติการ “กราบป้อม” อันจะส่งผลกระเทือนถึง “บิ๊กป๊อก” และยอมให้เก้าอี้รัฐมนตรีแก่กลุ่มปากน้ำตามที่พี่ป้อมไปสัญญาไว้หรือไม่