รัฐประหาร-หรือว่าเท่/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

รัฐประหาร-หรือว่าเท่

 

มีเรื่อง “เหลือเชื่อ” เกิดขึ้นให้เห็นจนได้ใน “ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ” รัฐมนตรีผ่านเป็นรายบุคคลที่เพิ่งผ่านพ้นไป

ผู้หญิงตัวเล็กปากกล้าใจเด็ดถูกคนที่ได้ชื่อว่า “ชายชาติทหาร” บอกว่า “เตี้ย” ทั้งที่ก่อนหน้าเธอก็แค่เอ่ยถึงความหมายของคำว่า “ตู่”

เรื่องที่ไม่น่าจริงจัง “ตู่” ไม่ลดราวาศอก เก็บทุกเม็ดทุกคำ ไร้ซึ่งอารมณ์ขัน

แต่หลายเรื่องที่ควรจะ “จริงจัง” และ “ใส่ใจ” กลับออกมุขตลกที่ชี้ให้เห็นถึง “ภัย” อันเกิดจาก “ระบบความคิด”

เช่น นักเรียนเลวออกมาปูดว่า สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คิดว่าเท่ มีหนังสือด่วนที่สุด ถึงโรงเรียนในสังกัด สั่งให้ทำอาหาร “มังสวิรัติ” เป็นมื้อกลางวันให้เด็กกิน

โน่น อ้างว่าเพื่อ “เมตตาต่อสัตว์” ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา พร้อมกับให้รายงานเมนู ถ่ายรูปอาหาร และรายงานผลการรับประทานของเด็กส่งให้ดูด้วย

แล้วเด็กๆ ที่นับถือศาสนาอื่นจะต้องกิน “มังสวิรัติ” ทำไม

“ตัวกู ของกู คือศูนย์กลาง” ใช้อำนาจตัดสินใจสั่งการจากเบื้องบน!

ข้าราชการครูติดนิสัยนี้มาจากประเทศของ “คนใหญ่” มากบารมีที่ยอมรับกันว่า คนทำรัฐประหารสำเร็จ ได้อำนาจรัฐ ก็เป็นผู้ชนะ ส่วนคนอ่อนแอ ไม่มีกำลังคน ไม่มีอาวุธ ก็ “ไม่ต้องมีที่ยืน”

“ป้อม” จึงกล้าเล่นมุขระหว่างประชุมสภาผู้แทนฯ ว่า “นี่ครับ คนที่ปฏิวัติ ท่านนายกฯ คนเดียว”

ทำเป็นเหมือนเรื่องนิดเดียว

ก่อรัฐประหารเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่ “ตู่” ยังทำเป็นยิ้มร่าหน้าระรื่นราวกับเป็น “วีรกรรม”

 

ฟังอาจารย์ธเนศวร์ เจริญเมือง แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ให้สัมภาษณ์ “มติชนรายวัน” ว่า ประเทศเราถูกเหนี่ยวรั้งจากการทำรัฐประหารมาตั้งแต่ปี 2549 หรือ 16 ปีที่ผ่านมานั้น มันคือ “การแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์”

“รัฐประหาร” ก่อการโดยทหาร ในประเทศไทยเกือบทั้งหมด “กองทัพบก” เป็นผู้นำ

และเมื่อทำเพื่อประโยชน์แห่งหมู่คณะทุกเหล่าทัพก็ตบเท้าเข้าร่วมเสวยสุข

ถามตัวเองแล้วตอบอย่างซื่อตรง “8 ปีแห่งความสุข” นี้แกนนำทั้งหลาย ใครได้อะไรไปเท่าไหร่

การใช้ “ลัทธิทหาร” นำการแก้ปัญหาการเมืองการปกครองนั้นโลกรับไม่ได้ การยึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธเป็น “ความป่าเถื่อน” จึงมีการกำหนดโทษเอาไว้สูง เช่น ของไทยมีโทษถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต

ความจริงแล้ว มนุษย์มีวิวัฒน์ มีอดีตเป็นบทเรียน

คำว่า “ลัทธิทหาร” ไม่จำเป็นต้องมีทหารเป็นผู้นำ ฮิตเลอร์ และสตาลิน ก็ไม่ใช่ หากแต่ในประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่า “ลัทธิทหาร” นำมาซึ่งความหายนะแก่ประเทศและประชาชน ญี่ปุ่นเข็ดขยาด ก้มหน้ารับความผิดพลาด สร้างชาติใหม่ด้วยเสรีนิยมประชาธิปไตย เยอรมนี ผู้เคยมีฉายา “อัจฉริยะสงคราม” ผู้เกรียงไกร กลายเป็น “อาชญากรสงคราม” ไปได้อย่างไร

“การใช้ความรุนแรง” ไม่ใช่ทางออกของปัญหา แต่ยังคงมีคนที่หลงงมงายใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ สกัดกั้น หรือช่วงชิง แค่เลือกที่จะเชื่อไม่เหมือนกัน หรือเลือกที่จะรักหรือบูชาคนละสรรพสิ่งกัน ซึ่งบางทีก็เรียกเสียหรูว่า “อุดมการณ์” ในประเทศของเราใช้กลไกในระบบยุติธรรมกลั่นแกล้งรังแกจนถึงกับฆ่ากัน

แค่ใส่เสื้อคนละสีก็เคยฆ่ากัน ไม่เว้นสตรี พยาบาล อาสาสมัคร คนมือเปล่า!

 

มีคนบอกว่า ตู่ไม่ได้เลอะเลือน แต่มีจุดประสงค์ “เบี่ยง” ความสนใจ จะว่าไป “ปฐมเหตุ” วันนี้มีมาตั้งแต่พฤษภาคม 2553

แต่วันนี้ “ตู่” ทำตัวเป็นเลอะเลือน ชอบยกเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมา เช่น จู่ๆ ก็ยกตัวโอ้อวดกลางสภาผู้แทนฯ ด้วยการลุกขึ้นถามว่า

“ในห้องนี้มีสักกี่คนที่เป็นนายกฯ มาก่อน ผมย่อมมีประสบการณ์มากกว่าท่าน แต่จะพูดแข่งกับท่าน ส่อเสียดให้ร้าย ผมสู้ท่านไม่ได้หรอก”

“ชวน หลีกภัย” ประธานสภา เป็น “นายกรัฐมนตรี” มาก่อน 2 สมัย เป็นมาตั้งแต่ “ตู่” ชั้นยศนายพัน

ต่างกันก็แต่ที่มา

“ชวน” มาตามวิถีที่เปลี่ยนถ่ายอำนาจโดยสันติ

ส่วน “ตู่” นั้นก็ “ป้อม” ชี้ตัวกลางสภาอยู่แล้วว่า “นี่ครับ คนปฏิวัติ ท่านนายกฯ คนเดียว”

หากคดีรัฐประหารถูกนำขึ้นศาลคงจะซัดทอดกันนัว!

ประเทศไทยต้องความสนใจจริงจังจัดการกับ “รัฐประหารของทหาร”

ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายและลงโทษ ไม่ใช่นิรโทษกรรม

การสั่งเคลื่อนกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีไว้ป้องกันประเทศแล้วเอามาก่อ “รัฐประหาร” ไม่ใช่ความเท่ หรือน่ายินดี เช่นเดียวกับ “ลัทธิคลั่งชาติ” ในประวัติศาสตร์ที่ระดับโลก ญี่ปุ่นก็เข็ดขยาด ก้มหน้าชดใช้ยอมรับความผิดพลาด แล้วเดินหน้าสร้างชาติใหม่ด้วยเสรีนิยมประชาธิปไตย “เยอรมนี” แม้จะเคยมีฉายา “อัจฉริยะสงครามผู้เกรียงไกร” แต่สุดท้ายผู้นำทางทหารก็ต้องกลายเป็น “อาชญากรสงคราม” ญี่ปุ่นกับเยอรมนีจึงสามารถพัฒนากฎกติกาและวัฒนธรรมทางการเมือง

มีเส้นแบ่งที่คมชัดระหว่าง “ฉ้อฉล” กับ “สุจริตชน”

ไม่มีวีรบุรุษทำรัฐประหารเพื่อประเทศชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการทหาร นักรัฐประหารพร้อมที่จะบดขยี้คนไทยด้วยกันเองราวกับเป็นอริราชศัตรู เสร็จแล้วก็ต้องถามตัวเองว่า ทั้งบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ บนดิน ใต้ดินนั้นได้กันไปคนละเท่าไหร่

 

ตัดภาพไปยัง พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่แจ้งว่าปัจจุบันกองทัพไทยมียุทโธปกรณ์คิดเป็นเงินรวมประมาณ 5 แสนล้านบาท จะต้องจัดหาทดแทน และซ่อมบำรุงคิดเป็น 1 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือ 2 เปอร์เซ็นต์

จะต้องตอกย้ำ “ความหมาย” ในหลักสูตรที่เรียนที่สอนกันว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพที่ประเทศจัดซื้อจัดหาให้นั้นเพื่อภารกิจอะไร

ทหารเป็นของประเทศชาติ ไม่ใช่ของ “นาย” ที่เล่นการเมืองเส้นทางลัด

การช่วงชิงอำนาจด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ของเหล่าทัพหรือการก่อรัฐประหารนั้นผิดกฎหมาย โทษต้องจำคุกตลอดชีวิต หรือไม่ก็ต้อง “ประหารชีวิต”

สังคมไทยจะต้องไม่เห็นดีเห็นงามอีกต่อไป

แม้ใครๆ จะเบื่อ “ระบอบ 3 ป.” เต็มทีแล้วก็ตาม!?!!