บททดสอบ คมแหลม จาก ทารกแห่งบู๊ลิ้ม ‘อาฮุย’ ทดสอบ เหล่า ‘คนดี’/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

บททดสอบ คมแหลม

จาก ทารกแห่งบู๊ลิ้ม ‘อาฮุย’

ทดสอบ เหล่า ‘คนดี’

 

โดยรูปโฉมและการแสดงออกของ “อาฮุย” เด่นชัดยิ่งว่าฉายา “ทารกแห่งบู๊ลิ้ม” มีความเหมาะสมอย่างที่สุด

ในความเป็น “ทารก” กลับมีความ “ใสซื่อ”

เห็นได้จากเมื่อมีข้อเสนอ “ผายลมของมารดาท่าน” ปรากฏขึ้นจากฝ่ายหนึ่งคำตอบโต้จากอาฮุยดำเนินไปอย่างไร

“มารดาข้าพเจ้าผายลม มารดาท่านก็ผายลม ทุกผู้คนล้วนต้องผายลม”

กงซุนโหวเจ้าของคำกล่าว “ผายลมของมารดาท่าน” ถึงกับงงงันวูบ กลับไม่อาจกล่าววาจาใดได้ เพราะทั้งหมดไม่เคยพบเห็นคนที่กล่าววาจาเช่นนี้มาก่อน หาทราบไม่ว่าอาฮุยเพิ่งเข้าสู่โลกกว้าง

กับคำด่าทอเหล่านี้ความจริงไม่เข้าใจ

ยิ่งเมื่อเตียเจี่ยหงีกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด “มันเพียงก่อกวนโดยไร้เหตุผล ท่านทั้งหลายไยต้องใส่ใจกับคำพูดของมัน”

ยิ่งทำให้ “อาฮุย” จำเป็นต้องนำเสนอ “กลยุทธ์” อันแยบยลเข้าไป

 

เห็นได้จากเมื่อมันปล่อยคำพูด “ท่านบอกว่า ผู้อื่นขายสหายหวังลาภยศ ท่านเองไยมิใช่ขายสหายหลายร้อยคน วันนั้นผู้ที่ฆ่าคนในตึกตระกูลองท่านไยมิใช่เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เพียงแต่องตั้วเนี้ยไม่ได้พบเห็นเท่านั้น”

ขณะพูดสายตามันจ้องมองไปยังเตียเจี่ยหงี เมื่อได้ยินคำพูดดังนั้นแปดธัมมะแดนตงง้วนถึงกับตื่นตระหนกถึงกับร้องโพล่ง

“มีเรื่องเช่นนั้นจริงๆ”

“มันคิดฆ่าผู้แซ่ทินี้ เพียงต้องการฆ่าคนปิดปากเท่านั้น” นั่นเป็นคำตอบจากปาก “ทารกบู๊ลิ้ม” อย่างอาฮุย

เตียเจี่ยหงีความจริงแค่นหัวร่อ ทำท่าเหยียดหยามดูแคลน

ยามนี้อดร้อนรุ่มใจมิได้ ตวาดด้วยโทสะว่า “ผาย…” มันยามร้อนรุ่มแทบด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคายดุจเดียวกับกงซุนโหว แต่คำ “ลม” มาถึงมุมปากพลันฉุกคิดว่า คำพูดนี้ด่าออกไปก็ไม่เห็นผลอย่าว่าแต่การร่ำร้องด่าทอออกจะเสื่อมเสียศักดิ์ศรี “ไต้เฮียบ” (วีรบุรุษ) ของตัวเอง

ดังนั้น แหงนหน้าหัวร่อเปลี่ยนเป็นคำกล่าว

“คิดไม่ถึง ท่านอายุยังเยาว์กลับรู้จักปรักปรำให้ร้ายคน ดีที่ไม่มีผู้ใดเชื่อถือวาจาข้างเดียวของท่าน”

จำเป็นที่ “ผู้เยาว์” ต้องก้าวไปอีกก้าวใหญ่

 

ด้านหนึ่ง เตียเจี่ยหงียืนยันอย่างหนักแน่นและมั่นคงว่า “วาจาข้างเดียว” ของมันมากด้วยน้ำหนัก แม้กระทั่ง “ผู้แซ่ทิเองล้วนยอมรับ ท่านไม่ได้ยินหรือไร”

อาฮุยกล่าวตอบว่า “ข้าพเจ้าได้ยิน”

คำพูดนี้ไม่ทันกล่าวจบ กระบี่ที่ข้างเอวของมันก็จ่อไปยังคอหอยของเตียเจี่ยหงีแล้ว แม้เตียเจี่ยหงีกรำศึกมาอย่างโชกโชน ความจริงมิใช่บุคคลจัดการได้โดยง่ายดาย แต่ครั้งนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใด

กลับดูไม่ออกว่า บุรุษหนุ่มผู้นี้ชักกระบี่อย่างไร

มันเพียงรู้สึกละลานตาวูบ ปลายกระบี่ก็บรรลุถึงคอหอย มันทั้งไม่สามารถหลบหลีกกระทั่งเคลื่อนไหวยังไม่กล้าเคลื่อนไหว

“ข้าพเจ้าเพียงถามท่านวันที่ไปฆ่าคนที่ตึกตระกูลองท่านใช่มีส่วนร่วมหรือไม่”

แม้เตียเจี่ยหงีจะปัดปฏิเสธผ่านการกระชากเสียงแข็งกร้าวออกมาถึงระนาบที่ว่า “ท่าน ท่านเสียสติแล้ว”

กระนั้นเมื่อได้ยินคำ “หากท่านยังไม่ยอมรับ ข้าพเจ้าจะฆ่าท่าน”

คำพูดนี้กล่าวอย่างราบเรียบ เฉื่อยชา คล้ายกำลังล้อเล่นก็มิปาน แต่ภายในดวงตาอันดำขลับล้ำลึกคู่นั้น กลับทอประกายที่ผู้คนไม่กล้าเชื่อชนิดหนึ่ง

เตียเจี่ยหงีหลั่งเหงื่อเม็ดโป้งปรากฏบนใบหน้า

มองดูดวงตาดำขลับ ลึกล้ำไม่เห็นก้น รู้สึกไขกระดูกล้วนเย็นเฉียบ ต้องกล่าวเสียงสั่นสะท้านอย่างลืมตัวออกมา

“ใช่”

 

พลันที่คำว่า “ใช่” กล่าวออกจากปากเตียเจี่ยหงี “แปดธัมมะแดนตงง้วน” ล้วนหน้าแปรเปลี่ยน กงซุนโหวกระโดดปราดขึ้นเป็นคนแรก

“สุนัขชั่วชาติ กระทำเรื่องเช่นนี้ยังกล้าอ้างตนเป็นคนดีอีก”

อาฮุยยิ้มแล้วกล่าวอย่างเฉื่อยชา “ท่านทั้งหลายมิต้องมีโทสะ การตายขององเทียนหงี่หามีส่วนเกี่ยวข้องกับมันไม่”

แปดธัมมะแดนตงง้วนตกอยู่ในอาการตกตะลึง

“มันเพียงพิสูจน์ยืนยันเรื่องหนึ่ง” เป็นคำจากปากของอาฮุย “นั่นคือ คำพูดที่คนผู้หนึ่งถูกบีบบังคับให้กล่าวออกมาไม่อาจยึดถือได้”

ใบหน้าเตียเจี่ยหงีกลับกลายจากซีดขาวเป็นแดงคล้ำ

ใบหน้า “แปดธัมมะแดนตงง้วน” ล้วนกลับกลายจากแดงคล้ำเป็นซีดขาว พากันตวาดออกมา “พวกเราไหนเลยเคยบีบบังคับมัน”

และที่สุดก็ลงเอยด้วยคำถาม

“ทิท้วงกะ หากท่านเห็นว่าพวกเราเหล่าพี่น้องปรักปรำท่าน ตอนนี้ท่านสามารถอธิบายต่อพวกเราได้”

และทิท้วงกะก็ไม่ยินยอมที่จะอธิบายสถานการณ์จึงทวีความร้อนแรง

 

เป็นความร้อนแรงที่เด่นชัดยิ่งว่า ความขัดแย้งเลยจากขั้นที่จะสนทนาแลกเปลี่ยนกันด้วยความสุขุมรอบคอบเปี่ยมด้วยเหตุผล

ท่ามกลางการยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยวของอาฮุย

“ไม่ว่ามันจะกล่าววาจาหรือไม่ ข้าพเจ้าล้วนไม่เชื่อว่ามันจะเป็นคนขายสหายหวังลาภยศ ข้าพเจ้าเมื่อมาแล้วเรื่องนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าไม่เชื่อก็ไม่อนุญาตพวกท่านทำร้ายมัน”

จึงตามมาด้วยคำพูด “ท่านนับเป็นตัวอะไร กลับกล้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกเรา” และร้อนแรงถึงขั้น

“บิดาพานจะทำร้ายมัน ดูว่าเด็กน้อยจะทำอย่างไรได้”

คนหลังนี้สงวนปากคำที่สุดแต่ลงมือรวดเร็วที่สุด ไม่ทันกล่าวจบคำ ขวานเล่มหนึ่งก็จามลงยังศีรษะทิท้วงกะ บังเกิดเป็นเสียงลมดังหวีดหวือ

กลับเป็นกระบวนท่า “ฟันภูเขาฮั้วซัวโดยพลัน” (ลิบเพ็กฮั้วซัว)

เห็นเช่นนั้น คนจำนวนหนึ่งอุทานด้วยความตื่นตระหนก เข้าใจว่าทิท้วงกะต้องหลั่งโลหิต พลีชีวิตเป็นแน่แท้

มิคาด

ยามนั้น พลันเห็นประกายกระบี่วูบขึ้นแวบหนึ่ง ได้ยินเสียงฉับเมื่อขวานใหญ่ถูกฟันขาดเป็น 2 ท่อน

คมขวานร่วงหล่น ณ เบื้องหน้าทิท้วงกะ

ที่แท้ กระบี่แม้ใช้ออกทีหลังแต่บรรลุถึงก่อน ปลายกระบี่จี้ใส่ด้ามขวาน ด้ามขวานซึ่งทำจากไม้ก็หักสะบั้น คนตัดฟืนเมื่อควงขวานอย่างสุดกำลัง ยามนี้พอสูญเสียดุลที่ถ่วงรั้งได้ยินเสียงกร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ ดังขึ้น 3 ครา

กระดูกข้อต่อบนหัวไหล่ ข้อมือล้วนหลุด ร่างถลาไปเบื้องหน้า พอดีล้มตัวเข้าหาปลายกระบี่คล้ายกับยืดคอเข้าไปให้ผู้อื่นเชือดเฉือน

แปดธัมมะแดนตงง้วนล้วนเห็นชัดถนัดตา อดหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลายมิได้

 

เมื่อครู่ที่อาฮุยใช้กระบี่สยบเตียเจี่ยหงีผู้อื่นยังเข้าใจว่าเป็นการลงมือโดยกะทันหัน อาศัยโชคช่วยเท่านั้น

ทุกผู้คนจึงต่างถูกขู่ขวัญจนตะลึงลาน

ตงง้วนโป๊ยหงีคลุกคลีในวงพวกนักเลงมานานปีต่างไม่เคยหวาดหวั่นพรั่นพรึง แต่เพลงกระบี่ของบุรุษหนุ่มผู้นี้กลับข่มขวัญทั้งมวลจนระย่อไปสิ้น

พวกมันแทบมิกล้าเชื่อในโลกจะมีกระบี่เร็วปานนี้อยู่

อาฮุยกลับมาคว้ามือทิท้วงกะราวกับไม่มีเรื่องราวใดบังเกิดขึ้นกล่าวเสียงราบเรียบว่า “ไปเถิด พวกเราไปดื่มสุรากัน”

ถามว่าที่ลงมือเช่นนี้อาฮุยต้องการทดสอบอะไร