ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ | แลนด์สไลด์ เพื่อปลดแอกจากรัฐบาล

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ในที่สุดการอภิปรายไม่ไว้วางใจคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งสุดท้ายก็ผ่านไปอย่างที่คาดคิดกัน

และถึงแม้โฉมหน้าคณะรัฐมนตรีหลังศึกอภิปรายจะไม่เปลี่ยนแปลงมากเท่าที่สังคมคาดหวัง คำอภิปรายของฝ่ายค้านก็ประสบความสำเร็จการทำลายนั่งร้านรัฐบาลอย่างที่ประกาศไว้จริงๆ

ด้วยการตีแผ่ข้อมูลของฝ่ายค้านในศึกไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา ประชาชนได้เห็นว่าเนื้อในของรัฐบาลเต็มไปด้วยเรื่องฉาวอย่างที่สุด รัฐมนตรีมีข่าวจ่าย 2 ล้านเพื่อซื้อโหวตพรรคปัดเศษ บางคนตั้งบริษัทนอมินีมารับเหมางานรัฐในเขตเลือกตั้ง และขั้นต่ำสุดคือผู้นำฉลาดน้อยแต่คิดว่าตัวเองบริหารดี

แม้ฝ่ายค้านจะไม่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนตัวนายกฯ ตามที่สังคมต้องการ

แต่การเปิดโปงว่ารัฐมนตรีก๊วนประยุทธ์เป็นแก๊งกอบโกยก็ทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลพินาศ โดยเฉพาะการกล่าวหารัฐมนตรีที่เป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการสืบทอดอำนาจอย่างรุนแรง

ถึงรัฐบาลจะเอาตัวรอดด้วยระบบพวกมากลากไปในสภา คำอภิปรายของฝ่ายค้านก็ชี้ให้เห็นว่ารัฐมนตรีหลายคนมีพฤติกรรมทุกอย่างที่ประชาชนรังเกียจ ไม่ว่าจะเป็นการปั่นหุ้น, การเอาพี่น้องลูกเมียไปทำธุรกิจบังหน้า หรือแม้แต่การแจ้งบัญชีทรัพย์สินที่เป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.

ไม่มีทางที่รัฐมนตรีคนไหนจะยอมรับว่าตัวเองโกง, ซุกหุ้น, ปั่นหุ้น หรือใช้นอมินีกอบโกยอย่างที่ถูกกล่าวหาในสภา แต่ด้วยหลักฐานที่ปรากฏและด้วยการยื่นเรื่องตรวจสอบไปที่องค์กรอิสระอื่นๆ ในอนาคต การขยายผลประเด็นจากการอภิปรายต่อไปคงเกิดขึ้นไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

จริงอยู่ว่า ส.ส.แต่ละคนมีวิธีอภิปรายต่างกัน บางคนถนัดด่า บางคนถนัดปลุกเร้า บางคนถนัดยั่ว บางคนถนัดปั่นกระแส บางคนถนัดพูดสนุก บางคนถนัดสรุปประเด็น บางคนถนัดนำเสนอที่รู้อยู่แล้วให้เป็นระบบ บางคนถนัดประท้วง และบางคนถนัดเรียบเรียงประเด็น

อย่างไรก็ดี ถ้าถือว่าความสำเร็จของการอภิปรายขึ้นอยู่กับการเปิดเผยข้อมูลเพื่อขยายผลต่อ คุณปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล จากพรรคก้าวไกล และคุณนิคม บุญวิเศษ จากพรรคพลังปวงชนไทย คือ 2 ส.ส.ที่ทำหน้าที่ได้น่าชื่นชมที่สุด เพราะเปิดเผยข้อมูลที่ควรนำไปสู่การถอดถอนรัฐมนตรี

จากการอภิปรายของทั้ง 2 คน รัฐมนตรีระดับเลขาฯ พรรค และว่าที่เลขาฯ พรรคล้วนมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปทำมาหากิน ซ้ำยังเป็นการทำมาหากินที่ในอดีตเคยทำรัฐมนตรีขาใหญ่หลายคนหลุดจากตำแหน่งมาแล้ว อย่างน้อยก็ในยุคที่องค์กรอิสระไม่ได้อยู่ใต้ทหารอย่างปัจจุบัน

ในกรณีคุณปกรณ์วุฒิได้กล่าวว่า คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ มีพฤติกรรมตั้งพวกพ้องเป็นบริษัทนอมินี ซุกหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัด รับงานฮั้วพันล้าน ขณะที่ในกรณีคุณนิคมกล่าวหาคุณสุชาติ ชมกลิ่น มีพฤติกรรมแทรกแซงกองทุนประกันสังคม เอาเงินไปซื้อหุ้นบริษัทภรรยาตัวเองจนราคาพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งที่ขาดทุน

คุณศักดิ์สยามให้สัมภาษณ์หลังอภิปรายว่าไม่กังวล ส่วนคุณสุชาติชี้แจงว่ารัฐมนตรีสั่งกองทุนประกันสังคมไม่ได้ แต่ไม่ยอมบอกว่ากรรมการกองทุนมาจากการแต่งตั้งของรัฐบาล ซ้ำการใช้เงินกองทุนไปซื้อหุ้นในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ขาดทุนและไม่มีใครรู้จักก็เป็นเรื่องผิดปกติจริงๆ

แน่นอนว่าการใช้เมียปั่นหุ้นและใช้น้องเป็นนอมินีอาจไม่มีความผิดในยุคประยุทธ์เป็นใหญ่ แต่ถึงอย่างไร ป.ป.ช.ก็ไม่มีทางปฏิเสธไม่รับคำร้องเรื่องรัฐมนตรีสองคนนี้ โอกาสที่ทั้งคู่จะถูกเช็กบิลในอนาคตจึงมีแน่ๆ เว้นแต่ใครคนใดคนหนึ่งจะตายไปก่อนอวสานประยุทธ์ ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ถ้าการอภิปรายทั้งสองเรื่องนี้เกิดขึ้นในปีที่ 3 ของรัฐบาล ฝ่ายค้านคงขยายผลเรื่องนี้ในแง่การเมืองและในแง่กฎหมายได้มาก แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกิดในรัฐบาลปีสุดท้าย การขยายผลทางการเมืองจึงมีเวลาเหลืออีกไม่มาก ตรงข้ามกับในแง่กฎหมายที่จะหลอกหลอนสองรัฐมนตรีไปอีกพอสมควร

ประเด็นปฏิรูปสถาบันเป็นอีกเรื่องที่พรรคก้าวไกลทำได้ดี และด้วยอานิสงส์จากการพูดเรื่องนี้ในสภานาน 3 ปี การจัดทำงบประมาณส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีการปรับปรุงจากปี 2562 อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะยังอยู่ในกรอบใหญ่เรื่องไม่ต้องการให้สภาผู้แทนฯ แตะต้องงบนั้นก็ตาม

น่าสังเกตว่าขณะที่คุณประยุทธ์ในปี 2562 มักตอบการอภิปรายโดยวิธีอิงสถาบัน คุณประยุทธ์ในปี 2565 กลับมีพฤติกรรมเช่นนี้น้อยลงมาก

ไม่มีวี่แววว่าคุณประยุทธ์จะปรับคณะรัฐมนตรีตามคำวิพากษ์วิจารณ์ของสภา และแม้กระทั่งโอกาสที่พรรคร่วมรัฐบาลจะแทงกันเองจนต้องปลดรัฐมนตรีก็มีน้อยมาก เหตุผลคือรัฐบาลกระแสไม่ดี แทงกันเองจนสภายุบก็ยุ่ง ทุกพรรคจึงรอคุมการจัดทำงบประมาณปี 2566 ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม

ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงสักอย่างในคณะรัฐมนตรี คุณจุติ ไกรฤกษ์ คือคนที่มีโอกาสจะถูกปรับออกเพื่อสังเวยให้รัฐบาลอยู่รอดมากที่สุด เพราะขณะคุณศักดิ์สยามและคุณสุชาติเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของพรรคและของคุณประยุทธ์ในการสืบทอดอำนาจ คุณจุติกลับไม่มีความสำคัญระดับนี้กับใครเลย

ขณะคุณศักดิ์สยามและคุณสุชาติมีพรรคและทำเนียบโอบอุ้ม คุณจุติกลับได้รับความสนับสนุนจากพรรคและรัฐบาลน้อยมาก ส.ส.ก้าวไกลอภิปรายคุณจุติโดยไม่มีประชาธิปัตย์ประท้วง, ส.ส.ร่วมพรรคบอกจะโหวตไล่ และความสัมพันธ์ของคุณจุติกับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยิ่งทำให้สถานะในพรรคไม่ดีเลย

มองในมุมทำเนียบรัฐบาล หากเอาคุณจุติออกไปก็อาจลดแรงกดดันที่คุณประยุทธ์ไม่ปรับรัฐมนตรีที่อื้อฉาวเลย แต่ถ้ามองในแง่ประชาชน คุณจุติเป็นรัฐมนตรีที่ไม่โดดเด่นจนไม่มีคนสนใจ การปรับคุณจุติออกไปจึงไม่ช่วยลดแรงกดดันที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลได้แม้แต่นิดเดียว

อย่างไรก็ดี คุณจุติมีข่าวตลอดว่าจะไปร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อหนุนคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ การปล่อยให้คุณจุติหลุดตำแหน่งจึงอาจส่งผลเสียต่อการสร้างพรรคให้คุณประยุทธ์ แต่ก็เป็นผลดีต่อคุณประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลังประชารัฐที่จะมีอำนาจต่อรองขึ้นทันทีที่พรรครวมไทยสร้างชาติอ่อนแอลง

สภาคือตัวแทนประชาชน และถ้าหากรัฐบาลพยายามสกัดเสียงประชาชนจนการอภิปรายไม่มีผลอะไร ก็เท่ากับว่ารัฐบาลทำให้ความต้องการของประชาชนที่แสดงออกผ่านการอภิปรายกลายเป็นอากาศไปหมด อำนาจที่อ้างว่าเป็นของประชาชนก็จะเป็นอำนาจเท่าที่รัฐบาลอนุญาตเท่านั้นเอง

คนจำนวนมากมองว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ฟังประชาชน และถ้ารัฐมนตรีที่สังคมเชื่อข้อมูลฝ่ายค้านกลับอยู่ในตำแหน่งต่อไป ความเชื่อว่ารัฐบาลไม่ฟังประชาชนเลยก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก และทั้งหมดนี้จะยิ่งทำให้ความไม่พอใจของประชาชนต่อรัฐบาลหนักหน่วงกว่าที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

สำหรับรัฐมนตรีที่อยู่รอดเพราะความโอบอุ้มของทำเนียบมากกว่าประชาชน การโดนฝ่ายค้านยื่นเรื่องไปยัง ป.ป.ช.จะยิ่งทำให้รัฐมนตรีกลุ่มนี้พึ่งพิงผู้มีอำนาจในทำเนียบมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะคุณประวิตรที่ทุกคนในประเทศเชื่อว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับบิ๊ก ป.ป.ช.ตลอดมา

พูดให้เห็นภาพขึ้น คำอภิปรายของฝ่ายค้านทำให้รัฐมนตรีหลายคนตกที่นั่งคล้ายคุณปารีณา ไกรคุปต์ หรือคุณวิรัชในช่วงรอผลคดี ป.ป.ช. นั่นก็คือการทำทุกทางเพื่อให้คุณประยุทธ์และคุณประวิตรช่วยให้รอดคดีให้ได้

หรือในทางกลับกันก็คือทำให้ฝ่ายหนุนประยุทธ์กระชับอำนาจกันแนบแน่นกว่าที่ผ่านมา

แม้ยุทธศาสตร์ของฝ่ายค้านในการอภิปรายครั้งนี้จะได้แก่การทลายนั่งร้านรัฐบาล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ อาจเป็นการทำให้ฝ่ายรัฐบาลจับขั้วกันแน่นแฟ้นไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้ามากขึ้น ผลก็คือเราอาจเข้าสู่การเลือกตั้งที่ประชาชนจะต้องเลือกระหว่าง “ฝ่ายค้าน” กับ “ฝ่ายรัฐบาล”

พรรคเพื่อไทยประกาศยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์เพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่จำนวน ส.ส.ที่เพื่อไทยต้องได้คือ 375 ขณะที่เพื่อไทยมี ส.ส.ตอนนี้ 132 ซึ่งเท่ากับเพื่อไทยต้องได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันเกือบ 3 เท่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เลย

ด้วยผลของการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน การเมืองไทยจะเดินหน้าสู่การเมืองแบบแบ่งขั้วยิ่งขึ้น การเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลจะรุนแรงขึ้น และโอกาสที่จะเห็นพรรคฝ่ายรัฐบาลย้ายข้ามค่ายมาร่วมกับฝ่ายค้านนั้นแทบไม่มีเลย

การเมืองไทยหลังศึกอภิปรายจะดุดันขึ้น เป็นการเมืองแบบใครชนะได้หมด ใครแพ้เสียหมดมากขึ้น และไม่มีทางที่จะปลดแอกประเทศจากคุณประยุทธ์ได้จนกว่าฝ่ายค้านจะชนะรัฐบาลในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย